30 กันยายน 2551

คิดถึง...กลอนบทเก่า

เปิดสมุดบันทึกเก่าๆ อ่านเรื่องราวที่เคยพรั่งพรู เขียนบรรยายความยืดยาว มีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ เศร้าอย่างนั้นอย่างนี้ เหงาอย่างนั้นอย่างนี้ อ่านแล้วก็ทำให้เห็นภาพ พร่าบ้าง ชัดบ้าง จากเรื่องราวในอดีต
และก็เปิดไปเจอกลอนบทโปรด ที่ชอบมากๆ จนจำได้ขึ้นใจ จดบันทึกเอาไว้นานมาแล้ว ด้วยความที่มีเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาในชีวิต วุ่นวายอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน เลยเกือบจะลืมมันไป ปัดฝุ่น ออกเบาๆ อ่านมันซ้ำอีกครั้ง ก็พบว่า มันยังคงสะท้อนเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี รวมถึง ทับซ้อนเรื่องราวในปัจจุบันไปด้วยพร้อมๆกัน...

คิดถึง แต่ไม่มาก
เบื่อๆ อยากๆ เป็นพักๆ

คร้านเกินจะเรียนรู้
ให้มากไปกว่าที่รู้จัก

ห่วงใยอยู่ห่างๆ
เพราะช่องว่าง ยังกว้างนัก

ใจเอย ยังโลดแล่น
ไม่หนักแน่นพอ จะปักหลัก

ไม่คาดหวัง แต่จริงใจ
ไม่เป็นไร ถ้าไม่รัก

เสียดาย อาจจะเสียดาย
แต่คงไม่ถึงกับอกหัก

ลังเล เลือนลาง
มิตรภาพ เคว้งคว้าง

อยู่แค่ครึ่งทาง
ของความรัก...

**โดย เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย**

28 กันยายน 2551

The Fall

สุดสัปดาห์ ไปดูหนังมา เรื่อง The Fall รอคอยหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ได้เห็นโปสเตอร์หนัง ที่ติดไว้หน้าโรงหนังสยาม เพราะเห็นแล้วนึกถึงภาพวาดของ Dali และในตัวหน้าหนังก็ไม่ได้บอกอะไรไว้เลยว่า เป็นหนังอะไรยังไง แบบไหน แต่ที่มั่นใจมากคือ หนังเรื่องนี้ภาพมันต้องสวยมากแน่ๆ เราชอบนักแลที่จะดูหนัง(บางเรื่อง) โดยที่ไม่รู้อะไรมาก่อนเลย ตื่นเต้นดี
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ภาพสวยกว่าที่เราคาดหวังไว้เสียอีก นอกจากเรื่องภาพที่สุดยอดแล้ว สิ่งที่พูดถึงในเรื่องก็ดีมากๆด้วย ไปหาอ่าน เรื่องย่อ และ บทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้จาก นิตยสารBioscope ฉบับล่าสุดได้ นะจ๊ะ ผู้กำกับคนนี้ ทาร์เซ็ม ซิงห์ น่าสนใจทีเดียว ยังไม่เคยดูเรื่อง The Cell เลย เห็นทีต้องไปหามาดูซะแล้ว สำหรับ The Fall เรื่องนี้ดูยากเหมือนกัน แต่ไม่มากนะ แต่อาจจะต้องคิดตามเร็วนิดนึง นี่ก็ยังอยากไปดูซ้ำอีกรอบเลยนะเนี่ย แต่ถ้าใครชอบภาพแบบ surreal น่าจะชอบหนังเรื่องนี้เลยล่ะ นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่รู้สึกดีมากๆที่ได้ดู เราชอบมากเลยล่ะ เลยอยากบอกต่อ ลองไปดูกันนะ ถ้ามีโอกาส

25 กันยายน 2551

Fail Better...

Ever Tired ?
Ever Failed ?
No Matter.
Try Again.
Fail Again.
Fail Better.
-Samuel Beckett-

21 กันยายน 2551

นานๆที แต่ก็ประทับใจ กับละคร "ฝากหัวใจไว้ที่อุบล"


เมื่อวานได้มีโอกาสไปดูละครกับเพื่อนๆมา โดยปกติเราไม่ค่อยได้ดูละครเท่าไหร่ ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่พลาดไป พลาดมา และบางที ก็ดันจัดลำดับความสำคัญของมันไว้ทีหลังการดูหนังนั่งคุยทุกที ก็เลยได้ดูไม่มากนัก แต่ก็จะมีเพื่อนเราคนหนึ่งที่หมั่นชวน และมักจะแนะนำละครที่ดีๆให้เราลองอะไรใหม่ๆทางด้านนี้เสมอ และล่าสุด เขาก็พาเราไปดู ละครเรื่อง "ฝากหัวใจไว้ที่อุบล" กำกับโดย นพพันธ์ บุญใหญ่ จัดแสดงอยู่ที่ พระจันทร์เสี้ยวการละคร สถาบันปรีดีพนมยงค์ สำหรับคนที่ดูละครไม่มากอย่างเรา ละครเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกสนุกมาก ชอบมากๆ และระหว่างทางก็ทำให้เราคิดถึง หวนระลึกถึงอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ การเรียนรู้ค้นหาตนเองของเด็กชายคนหนึ่ง ชื่อว่าแดง ที่กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ โดยเกิดเหตุการณ์ที่อยู่ๆ แม่ของเขาก็หายตัวไปจากชีวิตเขา ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้าย ที่บอกกับพ่อของเขาว่า "พาแดงไปทำฟันด้วยนะ" และพ่อของเขาก็ส่งเขาไปอยู่กับญาติที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทีชื่อว่า น้าเปิ้ล ที่จังหวัดอุบล และที่นี่เองที่ทำให้แดน รู้จักและเข้าใจ เรื่องราวของความรักในมุมมองนอกเหนือจากที่ตนเคยรับรู้เข้าใจ
ตลอดเวลาที่นั่งดูละครเรื่องนี้อยู่ เขาเล่าเรื่องราวกับเรากำลังดูหนัง coming of age เท่่ห์ๆอยู่ซักเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องน่ารักมาก ตัวละครมีบุคลิกแปลกๆ พิสดารหน่อยๆ แต่คนเราก็มักมีความแปลก ความเพี้ยนแบบนี้ซ่อนอยู่กันทุกคนมิใช่หรืู่อ ดูไปก็นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะ ไปกับมุขตลกน่ารักๆที่มีอยู่อย่างพอดิบพอดีตลอดทั้งเรื่อง ทุกตัวละครเล่นดีมากๆ โดยเฉพาะ น้าเปิ้ล (แสดงโดย คุณ ปานรัตน กริชชาญชัย) เล่นได้ทุ่มทุนสร้างมาก ดูไปดูมากก็จะรู้สึกชอบตัวละครทุกๆตัว ดูแล้วมีความสุข และ มีความหวัง แม้ชีวิตมันจะเศร้าก็เถอะ
รายละเอียดบางอย่างของละครเรื่องนี้ ทำให้เราหวนนึกถึง ชีวิตตอนเป็นเด็กๆ บทเพลงฝรั่งเก่าๆ ชีวิตง่ายๆสบายๆของเรา ในตอนที่ยังเป็นเด็ก คิดถึงบ้านเก่า คิดถึงแก๊งเพื่อนบ้านที่เคยเล่นซนกันมา คิดถึงเวลาแม่พาไปไหนต่อไหนตอนเด็กๆ คิดถึงจินตนาการของตัวเองที่เคยแต่งเรื่องเอง แล้วให้ตัวเองรับบทเด่น คิดเองเล่นเอง ว่างั้น... ที่คิดๆมา เกี่ยวกันกับละครรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่มันก็พาเรากลับไปหวนระลึกถึง Good Old Dayน่ะ เติบโตมาได้จนถึงตอนนี้เนอะ ก็ต้องเติบโตกันต่อไป และมันยังคงยากอยู่เสมอ ในการที่จะเข้าใจตนเอง และเข้าใจคนอื่น... แต่มันก็น่าจะเข้าใจได้ในสักวันนะ

19 กันยายน 2551

วันนี้ไม่ใช่วันของเรา

วันนี้ไม่ใช่วันของเรา...
ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานี้ วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากเลย นานจนคิดไปว่าเหตุการณ์แย่ๆตอนเช้า มันเกิดขึ้นเช้าวันนี้ หรือเช้าเมื่อวานกันแน่นะ
ไม่ว่าเรื่องตลก เสียงหัวเราะ ความสนุกสนานในที่ทำงาน ของเพื่อนร่วมงาน ก็ยังไม่สามารถทำให้เรื่องแย่ๆที่ตกค้างอยู่ในใจหายไปได้
จนตกเย็น ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ฝนตก ฝนตก ฝนตก...
ทำอะไรก็ติดขัด ไม่ได้ดั่งใจซักอย่าง แผนการที่วางไว้ เป็นอันต้องยกเลิก
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องกลับบ้าน บ้าน?...
นั่งรถเมล์ ปล่อยความคิดไปกับลม กับละอองฝน กับเสียงรถราฝนฟ้าที่ดังเหลือเกิน
แต่น่าตกใจ ที่เสียงความคิดฟุ้งซ่านสะเปะสะปะของเรามันดังยิ่งกว่า และยิ่งดังขึ้นดังขึ้น เมื่อนั่งรถผ่านเส้นทางสายเก่า ผ่านบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย ลมพัดผ่านหน้าไปหนึ่งวูบ ทำให้พลันคิดขึ้นมาว่า อะไรกันนะ ที่พาชีวิตเรามาไกลเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงเดินลงจากรถและค่อยๆเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิม เดินเข้าซอยๆนั้นไป มองหาพระจันทร์ว่าคืนนี้มันอยู่ตรงไหน ก่อนจะไขประตูเข้าบ้าน อาบน้ำ กินข้าว และเข้านอน
แต่ตอนนี้ ลงรถคนละป้าย ไม่ต้องเดินเข้าซอย ไขประตูคนละบาน อาบน้ำ กินข้าว เข้านอน อาจคล้ายๆอย่างเิดิืม แต่มัน ไม่เหมือนเดิม...
เรารู้แหละนะว่า คนเราต้องเดินชนกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่ได้ไปไหนเสียที แต่ในเวลาที่เหนื่อยล้า ความเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจอ่อนไหว และอดกลัวมันไม่ได้ทุกที
เราเหนื่อย... เหนื่อยกาย กับปัจจัยภายนอก ฟ้าฝน การเดินทาง กับอุปสรรคที่ไม่เป็นใจ
เราเหนื่อย... เหนื่อยใจ กับความกังวล และปัจจัยภายในของตัวเอง ที่ไม่สามารถจัดการได้เสียที
ในภาวะแบบนี้ เราก็เก่งนักเชียว ในการโยงเรื่องทุกเรื่องที่คิดที่รู้สึกมากองไว้รวมกัน(แม้มันจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม)
หวังว่า...วันพรุ่งนี้จะดีขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป หวังว่า...

17 กันยายน 2551

สั่นคลอน...

ในยามที่จิตใจถูกสั่นคลอนด้วยความโกรธ ความไม่พอใจ จากคำพูดหรือการกระทำของใครบางคน เราไม่สามารถที่จะห้ามความรู้สึกโกรธได้ สิ่งที่เราทำได้คงจะเป็นเพียงการระงับอารมณ์ ควบคุมตนไม่ให้แสดงความโกรธเกรี้ยวไปตามแรงโกรธ และสำหรับเราสิ่งนั้นมักจะกลับมาตกค้างเกิดเป็นคำถาม ที่ไม่ได้รับคำตอบ วกวนคั่งค้างอยู่ในใจเสมอ ที่ยากไปกว่านั้น คือเรื่องๆนั้น มาจากพื้นฐานแห่งความหวังดี.... แต่จะให้เป็นเช่นไร เมื่อวิถีของเรานั้นต่างกัน มันช่างดูหยิ่งผยองเกินไปและลำบากใจเกินกว่าที่จะบอกออกไปว่า ความหวังดีนั้นเราไม่ได้ต้องการ
ได้ไปเจอ ข้อความหนึ่ง ที่ช่วยเราได้มากสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่ออ่านดู และเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่เรารู้สึกและสงสัย มันก็ทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น อาจจะยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่เราจะพยายาม...

หมั่นตระหนักว่าชีวิตนั้นเหมือนฝัน
พึงลดความยึดติด และการผลักไส
พึงเจริญเมตตาจิตต่อสรรพชีวิต
พึงรักและกรุณาไม่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร
สิ่งที่เขาทำนั้น ไม่มีความสำคัญมากนัก
หากเธอเห็นมันเป็นดั่งความฝัน
เคล็ดนั้นอยู่ี่ที่่มีเจตนาดีระหว่างฝัน
นี้เป็นประเด็นสำคัญ เป็นธรรมที่แท้จริง

จากหนังสือ เหนือห้วงมหรรณพ (The Tibetan Book of Living and Dying)
โซเกียล รินโปเช เขียน
พระไพศาล วิสาโล แปล

13 กันยายน 2551

The Orphanage



ช่วงนี้ ไม่ค่อยมีหนังโรงที่รอคอยอยู่เข้าฉายเลย Twenty Century Boy ก็มีข่าวว่าเลื่อนฉาย ยังไม่แน่นอน เลยเป็นช่วงเวลาการหาหนังแผ่นมาดู ได้ยินคำร่ำลือมามากมายสำหรับหนังเรื่อง The Orphanage หรือ El orfanato ว่าควรหามาดูให้ได้ และจากความใจดีของรุ่นน้องที่ให้หยิบยืมแผ่นมา ก็เลยได้ดูเสียที โอ้... สมคำร่ำลือจริงๆ
แนวทางของ The Orphanage เป็นหนังสยองขวัญ ออกหลอนๆด้วยเรื่องราว และ บรรยากาศของบ้านหลังงาม ที่เคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักคือ Laura (ฺำBelen Rueda)อดีตเด็กกำพร้าที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ และเดินทางกลับมาที่นี่อีกครั้งกับสามี และลูกชายโดยตั้งใจจะสร้างบ้านหลังนี้ให้กลับมาเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง แต่อยู่ไปอยู่มา ก็ยิ่งพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาด ยิ่งกับลูกชาย Simon ที่ชอบพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการ, เกมส์หาของล้ำค่าที่น่าแปลกใจเกินกว่าจะยอมรับว่ามันเป็นความจริง ทั้งหลายทั้งปวงนำไปสู่ความเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่น่าเศร้าสลดของบรรดาเด็กๆกำพร้าในอดีต รายละเอียดของหนังเล่นกับจินตนาการ ความซุกซนแบบเด็กๆ แต่ก็หลอนอย่างมากเลยทีเดียว ฉากหวาดเสียวบางฉากก็ยังได้กลิ่นความจิตๆ คล้ายๆกับ หนังเรื่องก่อนของ Guillermo Del Toro อย่าง Pan's Labyrinth แต่ก็เป็นความจิตที่เราว่าน่าดูทีเดียว หนังดำเนินเรื่องได้น่าตื่นเต้นชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ มีการทำให้เราอึ้งได้เป็นระยะๆ จนตอนจบอยู่ๆเราก็รู้สึกอยากร้องไห้ เลยได้เสียน้ำตาอย่างไม่แน่ใจสาเหตุ(ของตัวเอง)ให้กับหนังเรื่องนี้ โอกาสในชีวิตของคนเราันั้นไม่เท่ากันจริงๆ บางทีการได้มีชีวิตอยู่ การได้เติบโตขึ้น การได้แก่ชรา ก็เป็นโอกาสที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นกับชิวิตและดวงวิญญาณหลายๆดวง
สรุปแล้วมันเป็นหนังที่สนุก และดีมากๆเลยค่ะ แนะนำ แนะนำ

7 กันยายน 2551

moment หลังการวาดรูป

การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่มีความยากในระดับหนึ่งสำหรับเรา ทั้งที่รู้นะว่าเมื่อได้เริ่มต้นทำแล้ว มันต้องสนุก และรู้สึกดีแน่ๆ แต่ด้วยความขี้เกียจทั้งหลายทั้งปวง มักจะกลายเป็นข้ออ้างไม่ยอมทำอยู่ร่ำไป อย่างเรื่องวาดรูป ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ร่ำๆว่าจะวาดอยู่ทุกอาทิตย์ แต่เอาเข้าจริง ความถี่ที่ได้วาดก็น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ทุกที ตอนนี้ก็พยายามทำขั้นตอนให้มันง่ายลง เพื่อลดข้ออ้างต่างๆ เมื่อวานก็ได้โอกาสเอาชนะความขี้เกียจ อาจจะเนื่องด้วยเก็บสะสมความอยากวาดมานาน ก็เลยได้แรงกระตุ้นอย่างดีให้ลุกขึ้นมาวาดรูปอย่างแข็งขัน และก็เหมือนทุกๆครั้งที่ได้วาด คือ รู้สึกดีจังเลย มีความสุข มีสมาธิ จิตใจสงบ และเราก็รู้สึกชอบภาพที่เพิ่งวาดเสร็จด้วย มันออกมาดีกว่าที่คิดไว้ หลังจากที่วาดเสร็จ เราจะชอบนั่งมองภาพนั้นนานๆ มองไปเรื่อยๆ มองแล้วมองอีก เหมือนคนหลงผลงานตัวเอง (หลงบางภาพที่ออกมาดีน่ะ บางภาพที่ออกมาไม่ถูกใจก็ทำเอาเสียความมั่นใจไปเหมือนกัน) ภาพที่ชอบๆเนี่ย ทำให้เกิดความรู้สึก ตีกันในหัวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือ อยากจะเก็บภาพนี้เป็น collection ส่วนตัว หรือเอาไปใส่กรอบติดฝาบ้านดีกว่า แต่ก็จะมีความคิดที่สองมาชนกันอีกว่า เราก็อยากเอาไปเผยเเพร่อวดสายตาประชาชน เพื่อนฝูงทั้งหลาย อยากฟังความเห็น ว่าเค้าจะชอบรูปของเราไหม อยากได้ให้มันกับใครซักคน อยากให้คนที่ได้รับรู้สึกดีกับภาพของเรา มันคงดูมีค่ามากขึ้น และมันก็ทำให้เรามีความสุข สองความอยากนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอหลังวาดรูปเสร็จ แต่จนแล้วจนรอด ความคิดที่สองมักมาแรงแซงโค้งอยู่เสมอ เลยกลายเป็นว่า วาดอะไรออกมาก็ให้ชาวบ้านไปเกือบหมด แทบไม่เหลือเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่มันก็แลกมาซึ่งความรู้สึกดีๆนะ เราก็ดีใจ และยินดีมากๆที่ได้มอบมันให้กับใครซักคน ว่าแล้วก็อยากวาดรูปอีกจังเลย อย่าขี้เกียจ อย่าขี้เกียจ ท่องไว้...

6 กันยายน 2551

ยินดีที่ได้เขียน และยินดีที่ได้พบกัน



เป็นครั้งแรกที่เริ่มสนใจในการเขียน Blog โดยส่วนตัวเเล้วเป็นคนเขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง บรรยายอะไรไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้เจอ และ อ่าน blog ของใครหลายๆคน พบเจอคนที่ชอบอะไรคล้ายๆกัน อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง แบบเดียวกัน อ่านแล้วบางที่ก็ได้ความรู้สึกดีๆ หรือได้ความรู้ ข่าวสาร เรื่องดีๆมาแบ่งปันกัน บางทีมันก็ทำให้เิกิืดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างเหมือนกันนะ ก็เลยบังเกิดความอยากเขียนขึ้นมาบ้าง พูดคนเดียวกับตัวเองมาซะนาน พูดมาทางนี้บ้าง เสียงอาจจะดังขึ้น
ยังไงก็... ยินดีที่ได้รู้จัก สำหรับตัวเอง สำหรับเพื่อนๆ และ สำหรับใครก็ตาม ที่บังเอิญแวะเวียนเข้ามาพบกัน ยินดีค่ะ