26 ตุลาคม 2551

เรื่อง ฝนๆ

ช่วงนี้ฝนฟ้าคะนอง ฝนตกชุ่มฉ่ำ ให้รำคาญใจอยู่ทุกวัน เพราะเราไม่ชอบเลย เวลาที่รองเท้าเปียกเฉอะแฉะ ขากางเกงฉ่ำน้ำ ผมเปียกลู่ไม่เป็นทรง แถมถ้าขึ้นรถเมล์แดงหน้าต่างทุกบานจะต้องปิดกันละอองฝน ร้อนอบอ้าว หายใจไม่ออก ทรมานเป็นที่สุด กระนั้นได้ขึ้นรถเมล์แอร์ก็ต้องทรมานกับความหนาวสั่น กับแอร์ที่หนาวเกิ๊น บวกกับความเปียกชื้นของร่างกายเมื่อโดนฝน ไม่มีความพอดิบพอดีเลยสักอย่าง ดีที่สุดเวลาฝนตกคือ นอนฟังเสียงฝนอยู่กับบ้าน บ้านเก่าก็จะได้นอนขี้เกียจสบายฟังเสียงฝน ถ้าบ้านที่อยู่ตอนนี้ ก็อาจหงุดหงิดมากกว่าเดิมที่จะไม่ได้ฟังเสียงฝนกระทบหลังคาเพียวๆ แต่ต้องมาฟังเสียงฝนปนเสียงล้อรถ ที่แล่นผ่านถนนเจิ่งน้ำด้วยความเร็วสูง (บ้านอยู่ติดถนนใหญ่น่ะ) ไม่ไพเราะเอาเสียเลย ฟังไปก็เสียวแทนคนที่เดินอยู่ริมถนนว่า มันต้องโดนรถ สแปรด (มาจากลักษณะเครื่องเล่นซูเปอร์สแปรดที่ดรีมเวิร์ล) ใส่เข้าแน่ๆ
ที่ร่ายยาวเรื่องฟ้าฝน เพราะว่าเมื่อวาน ยืนติดฝนอย่างไม่มีทางเลือก อยู่ที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งย่านบางลำภู เรามาถึงก่อนเวลาที่ร้านจะเปิด เลยต้องรอหน้าร้าน ฝนตกหนักมาก เป็นฝนปนกับลมที่พัดกระจายไร้ทิศทาง มีร่มกำบังความกว้างเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น ทำให้เราต้องจัดระเบียบร่างกายให้ยืนตัวลีบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เหมือนกับว่าตอนนั้นชีวิตช่างไร้ทางเลือก ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนมองลมฝนที่อยู่ตรงหน้า เลยได้โอกาสพิจารณาถึง สายฝน และ สถานการณ์ ที่ชีวิตคนเราอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่ได้อย่างใจ ควบคุมได้ทุกอย่าง เมื่อมันเกิดขึ้น และไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า ทางที่ดีที่สุดคือ การมองมันในมุมมองอื่นๆ ในตอนนั้น เราก็เลยปล่อยใจรับละอองฝนที่กระเด็นเข้ามา มันก็เย็นชุ่มฉ่ำดี ตัวเปียกได้ มันก็แห้งได้ มองดูลมพัดละอองฝนปลิวกันวุ่นวายก็เป็นความสวยงามอีกแบบ สีท้องฟ้ายามปล่อยน้ำฝนก็เป็นสีโทนประหลาดดี และพลันเกิดความรู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แถมยังได้มีบทสนทนาระลึกถึงความหลังกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า ครั้งหนึ่ง เราก็เคยติดฝนทำอะไรไม่ได้ แบบนี้ที่เกาะเต่า ตอนนั้นน่ะเรากังวลใจมากเลย เพิ่งจะมาถึง สัมภาระก็มากมาย ที่พักก็ยังไม่มี ฝนก็เทกระจาย แต่พอได้นั่งคุยเรื่อยเปื่อยเพื่อรอฝนหยุด มันกลับเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจดี เหมือนกับเราได้ข้ามผ่านความกังวลใจไปด้วยความใจเย็นขึ้น และยังระลึกถึงช่วงเวลานั่งติดฝน ที่ปั๊มน้ำมันเก่าๆบนเกาะเต่าอยู่บ่อยๆ ประสบการณ์ฝนที่เราประทับใจยังมีอีกครั้งหนึ่งที่กระบี่ เราวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักมากเพื่อกลับที่พัก แต่ด้วยความที่เพิ่งเล่นน้ำทะเลมาสักพัก ตัวยังหมาดๆ แถมไม่มีสมบัติอะไรให้เป็นห่วง เลยคิดในใจ เราวิ่งหนีฝนทำไมวะ ? เลยเปลี่ยนมาวิ่งเล่นน้ำฝนแทน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆเลยล่ะ สนุก ปลอดโปร่ง โลดแล่น เหมือนกับว่า เราไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจอีกต่อไป แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมานัก เพราะเพื่อนวิ่งหน้าตื่นกอดกล้องถ่ายรูปแนบอกอยู่ข้างๆ เลยแอบกรี้ดลิงโลดวิ่งเล่นน้ำฝนอยู่เงียบๆกับพี่อีกคนหนึ่ง ที่มองแล้วรู้เลยว่าคิดเหมือนกันอยู่ แปลกดีเหมือนกันที่เกิดมาตั้งนาน ไม่เคยเล่นน้ำฝนกะเค้า มัวแต่วิ่งหลบมันอยู่เรื่อย แถมโดยอุปนิสัยส่วนตัว เพื่อนๆก็ชอบหาว่า เป็นพวกเจ้าสาวกลัวฝนอีกต่างหาก การวิ่งเล่นน้ำฝนวันนั้น ทำให้เราประกาศก้องอยู่ในใจ ว่า "ชั้นไม่ได้กลัวย่ะ และ ชั้นไม่กลัวแล้วย่ะ" แฮ่ๆ
ร่ายมาซะยืดยาว เวลาฝนตก จิตใจก็คิดโน่นนี่ กระเจิดกระเจิงได้ง่ายเป็นพิเศษ แต่เราก็คงไม่ได้อ้าแขนรับการมาของสายฝนได้ทุกครั้งหรอกนะ คงต้องกางร่มกันบ้าง แต่ประสบการณ์ฝนต่างๆที่เล่ามา มันก็ช่วยทำให้เรา กังวลกับมันน้อยลง สงบมากขึ้น และจัดการกับสภาวะที่เหมือนจะไร้ทางเลือกได้ดีขึ้นด้วย
สำหรับเมื่อวาน ฝนยังช่วยเพิ่มความหิวโหยของกระเพาะ และอาหารญี่ปุ่นมื้อนั้นที่รอคอย ก็อร่อยสมใจเป็นพิเศษ...

เพื่อนเราบอกว่า มันเป็นฝนสั่งลา และลมหนาวกำลังจะมา...

23 ตุลาคม 2551

ยังไม่สายเกินไป แด่หนุ่มสาว...



ถ้าเราได้เลือกทางซึ่งเราเดินไปด้วยตนเอง
ก็ขอให้แน่ใจได้ว่าทางเลือกนั้น
เราได้เลือกอย่างสมศักดิ์ศรีของมนุษย์
จงอย่ากลัวที่จะเลือก
เราไม่สามารถจะประนีประนอมได้อีกต่อไป
เพราะการประนีประนอมจะกลืนกินเราในระยะยาว
จงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส
คิดพิจารณาและตัดสินใจ
และเมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว
จงอย่าลังเลที่จะกบฏและท้าทาย
จงอย่ากลัวที่จะตั้งคำถามทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง
ในระบบสังคมและชีวิตของตนเอง
จงอย่ากลัวเลย ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ
ความกลัวไม่อาจหมดสิ้นลงได้ในทันทีทันใด
เราจะต้องเริ่มเผชิญหน้ากับมัน
เริ่มท้าทายมันทีละเล็กละน้อย
และในที่สุด เราจะขึ้นอยู่เหนือความกลัว
เราย่อมมีความสามารถ
ในการที่จะสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่
ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้แสวงหา
ได้งอกงาม ได้เติบโต
อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


-พจนา จันทรสันติ-
จาก หนังสือ แด่หนุ่มสาว ของ กฤษณมูรติ

เมื่ออ่านคำนำที่ยกมาข้างต้นของหนังสือเล่มนี้เเล้ว ก็ทำให้มั่นใจว่าเรายังไม่ได้ผ่านเลยวัยไปเลยสำหรับหนังสือเรื่อง แด่หนุ่มสาว ของกฤษณมูรติ และก็คิดว่าตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ช่วงเวลาอีกครั้งที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (ใหญ่สำหรับเรา)
สำหรับเราแล้ว ความกลัวมักจะเดินหน้าเข้ามาหาอยู่บ่อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง และเมื่อเจอมันเข้าบ่อยๆ เรื่องราวที่ผ่านมาก็ได้สอนให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น สอนให้เราเปิดใจ ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมเผชิญหน้าด้วยความมั่นใจ เมื่อทำการสำรวจตนเองผ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เรารู้ว่า ความเข้าใจของเรายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก และคงต้องฝึกฝนตนเองอีกมาก แต่ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับมัน ก่อนที่จิตใจจะหลงทางไปมากกว่านี้
ต้องขอขอบคุณแอม และ พี่กอล์ฟที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่านค่ะ

19 ตุลาคม 2551

ปล่อยมันไป...

เป็นเพราะเรา เป็นเพราะเรามากกว่า
เป็นเพราะใจ เป็นเพราะใจเราอ่อน
อ่อนแออยู่เสมอ เพียงพบคนถูกใจ
เก็บมาใส่ดวงใจฉันไว้ ฝันลมๆมากมาย

แล้วเป็นไง พอหัวใจต้องเจ็บ
เขาคนดี มีแล้วมีคนอื่น
เจ็บใจอยู่อย่างนั้น เพียงพบความผิดหวัง
ได้แต่ปลอบ ปลอบใจตัวเอง
หวังอะไรมากมายนะใจ

เป็นเพราะใจเราอ่อน
อยากทำหัวใจขึ้นใหม่
อยากตกแต่งดวงใจเล็กๆ
ให้แข็งแรงพอจะทนไหว

พอแล้วพอ พอฉันพอดีกว่า
คิดไปเอง ทำให้ใจต้องเจ็บ
สุขเพียงสุขเล็กน้อย ยามพบคนถูกใจ
แต่พอเจ็บ มันเจ็บเกินใคร
เป็นเพราะใจเราบางเหลือเกิน

*เพลง ใจบางๆ*

เพลงนี้ดูจะเป็นเพลงที่ตรงที่สุดแล้ว... อาจไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายอะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่า ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย แค่อยากเขียนอะไรบางอย่างสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ขอลาจาก สำหรับความสัมพันธ์ที่พร่าเลือน ความสัมพันธ์ที่คิดไปเอง
ขอลบทิ้ง สำหรับร่องรอย ข้อความ คำพูด ที่เคยทิ้งไว้ (คุณไม่ควรทิ้งไว้ ถ้าคุณรับผิดชอบมันไม่ไหว)
เมื่อคุณไม่ยอมรับ ด้วยการบอกว่า มันไม่มีอะไร คุณก็ไม่มีสิทธ์ที่จะได้รับรู้ความรู้สึกของฉัน
ชัดเจนแล้ว กับคำถามที่สงสัยมาตลอด ว่า ฉันอยู่ตรงไหน
และจะรับไว้สำหรับคำขอโทษ

10 ตุลาคม 2551

มีดอกไม้มาฝาก



วาดดอกไม้เอาไว้
อยากอวดให้ใครๆเห็น
วาดไปฟังเพลงไปอย่างใจเย็น
ภาพเลยออกมาเป็นเช่นนี้แล
มีดอกไม้มาฝาก
เก็บมาจากปลายพู่กันอันเก่าๆ
วาดแล้วอยากให้เห็นผลงานเรา
ชอบหรือเปล่า? เห็นอย่างไร?
ช่วยบอกมา



4 ตุลาคม 2551

เราต่างกำลังเต้นรำ...

Life's a dance, we all have to do
But why does the music quiet?
People are moving together
Close as the flames in a fire

Feel the beat; music and rhyme
While there is time.

We all go 'round and 'round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All I know is,
We're all in the dance

Night and Day, the music plays on
We are all part of the show
While we can hold on to someone
Even though life won't let us go

Feel the beat; music and rhyme
While there is time.

We all go round and round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All I know is,
We're all in the dance

We're all in the dance

We all go round and round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All we know is,
We're all in the dance

**We're All in a Dance by Feist**

เราต่างล้วนอยู่บนฟลอเต้นรำ... เรามักจะนึกถึงเพลงนี้อยู่เสมอ เวลานั่งรถเมล์กลับบ้านตอนดึกๆ เวลามองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา แสงสีส้มๆของไฟข้างถนนยามค่ำคืน เวลามองมันผ่านขอบหน้าต่างรถเมล์แล้ว มันให้ความรู้สึกเงียบเหงา โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า ช่วงเวลาที่เรานั่งรถเมล์ มักจะเป็นเวลาที่เราได้ปล่อยอารมณ์ ความคิดให้ล่องลอยไป บางทีก็คิดอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน บางทีความคิดก็ฟุ้งกระจายจับต้นชนปลายไม่ถูก บางทีก็นั่งทบทวนว่าวันนี้ได้พบเจออะไรมาบ้าง พบใคร ทำอะไร

We all go round and round
Partners are lost and found

เรากำลังเต้นรำ อยู่ในบทเพลงชีวิต ได้พบปะผู้คน และลาจาก
บางคน ก็เป็นการพบกันสั้นๆ มีความทรงจำช่วงหนึ่งร่วมกัน แล้วจากลา
บางคนอยู่กับเรานาน จนทำให้เราหลงลืม และคิดว่า เขาจะอยู่กับเราตลอดไป
แต่คนเรา ยังไงก็ต้องจากกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...
นี่คงเป็นเรื่องธรรมดาโลก
นอกจากจะพยายาม ดูแลรักษาผู้คนที่ผ่านพบให้ดีแล้ว คงต้องบอกตัวเอง ให้เข้มแข็ง เพื่อเตรียมรับการจากลา ในวันใดวันหนึ่ง