24 ธันวาคม 2552

พร้อม / ไม่พร้อม

เวลาเธอพร้อมจะคุยกับฉัน ฉันพร้อมจะคุยกับเธอเสมอ
เวลาเธอไม่พร้อมจะคุยกับฉัน ฉันพร้อมที่จะนิ่ง รอคอย ถอยห่าง แม้จะไม่เข้าใจ
เวลาฉันพร้อมจะคุยกับเธอ บางทีเธอยังไม่พร้อมจะคุยกับฉัน
เวลาที่ฉันไม่พร้อมจะคุยกับเธอ เธอพร้อมที่จะคุยกับฉัน

บางที บางอย่าง มันก็ไม่ได้พร้อม อย่างที่เราคาดหวังไว้

15 ธันวาคม 2552

คนกลาง เหนื่อย

เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนมารักกันได้ ใช่ไหม?
เวลาเห็นคนทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน การเป็นคนกลางก็ไม่ได้สบายใจไปกว่ากันเลย
ต่างคนต่างมีเหตุผล ที่ในเวลานั้นทั้งเข้าใจได้และเข้าใจไม่ได้ (ซึ่งส่วนใหญ่จะยังไม่ยอมเข้าใจอะไร)
เรารับรู้ถึงเหตุผล และอารมณ์ ของทั้งสองฝ่าย แต่เราอธิบายแทนใครไม่ได้หรอก
สิ่งที่เราทำได้คือการรับฟังเท่านั้น และได้แต่พร่ำบอกให้ใจเย็นๆลงก่อน
ที่เหลือคงเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องเรียนรู้ และปรับความเข้าใจกันเอง
ไม่ชอบกัน ขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ใช่ไหม?
บางครั้งเราก็สับสนนะ เราก็ไม่รู้ว่าการเป็นคนกลาง จะต้องก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวแค่ไหน ต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปกับเขาแค่ไหน เราไม่สบายใจหรอกเวลาที่เห็นคนที่เรารักทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน
แต่เราก็ทำได้เพียงเท่านี้ใช่ไหม เราก็เป็นห่วง แต่บางครั้ง เราก็เหนื่อยเหลือเกินกับการเป็นคนกลาง
นอกจากไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดีแล้ว คนกลางยังถูกนึกถึงความรู้สึกน้อยที่สุดในยามที่ทั้งสองข้างปล่อยอารมณ์ออกมา
เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนมารักกันได้ ใช่ไหม?

10 ธันวาคม 2552

เขาสุข และเราไม่ต้องทุกข์

ได้อ่านเพียงแค่คำโปรยย่อหน้าแรกของ ปัจฉิมกถาของพระไพศาล วิสาโล ในนิตยสาร ฅคน ก็รู้สึกเข้าใจอะไรบางอย่างและคิดอะไรขึ้นมาได้มากมาย

"เราทุกข์ง่าย เพราะคิดถึงตัวเอง จะทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้น เมื่อได้นึกถึงผู้อื่น"

ข้อความนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนตนเอง ความคาดหวังต่างๆนานา ที่ทำให้เราเจ็บปวดเมื่อมันไม่เกิดขึ้น หลายครั้งมันมาจากการที่เราคิดถึงตัวเราเองมากเกินไป การที่เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เราคาดหวัง นั่นอาจจะเป็น ความปกติสุขธรรมดาอันพึงเกิดขึ้นสำหรับเขาแล้วก็เป็นได้ เมื่อเขาพอใจแล้ว มีความสุขแล้ว แล้วเราจะไปเรียกร้องต้องการอะไรอีก การเห็นคนที่เรารักเป็นสุขย่อมดีกว่าเห็นเขาเป็นทุกข์มิใช่หรือ

เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าวันนี้ที่เรารู้สึกเข้าใจ ความเข้าใจนี้มันจะอยู่กับเราไปได้แค่ไหน เมื่อมีเรื่องเข้ามากระทบใจให้คิด เราจะยังสามารถทำใจยอมรับและเข้าใจได้อย่างในเวลานี้หรือไม่ วันนี้ที่รู้สึกเข้าใจก็ได้ผ่านการครุ่นคิด หมกมุ่นกับมันอยู่มาสักระยะแล้ว คิดจนเหนื่อย พอมาเจอข้อความนี้อ่านแล้วรู้สึกว่าโล่งขึ้้น เราไม่อาจปฏิเสธได้กับอารมณ์อ่อนไหว น้อยใจ ที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดขึ้นจริง เกิดอย่างง่ายดายและแกว่งไกวใจเราไปไกล ทำให้เราทรมานและไม่สบายใจ แต่เราว่าอย่างน้อยที่สุด เมื่อมองกลับไปที่ เขา และ เรา การเห็นเขามีสุข แม้จะไม่ใช่เพราะเรา แต่มันก็ดีแล้วที่เขาสุขไม่ใช่หรือ เราอาจจะต้องเข้าใจเขา และเข้าใจตนเองให้มากขึ้น ปรับตัวเพื่อให้เขาสุข และเราไม่ต้องทุกข์

กลับมาได้ไหม ตัวฉัน

ไม่เป็นตัวเองเลย
ฉันที่เป็นฉันหายไปไหน
ควบคุมใจไม่ได้เลย
ใจที่เคยอิสระเป็นอะไรไป
กลับมาเป็นตัวเองได้ไหม
ไม่ต้องไปยึดติดกับใคร
ทำอะไรอย่างที่เคยทำได้
ฉันคิดถึงตัวฉันที่หายไป

ขอเวลาฉันสักหน่อย
ให้ฉันได้จัดการกับตัวเอง
ไม่นาน เพียงไม่นาน
ฉันจะกลับมาเป็นคนเดิม

5 ธันวาคม 2552

ทะเลาะกันอยู่ในใจ

ทะเลาะกันอยู่ในใจระหว่างโกรธกับไม่โกรธ
ทะเลาะกันอยู่ในใจระหว่างน้อยใจกับไม่คิดอะไร
ทะเลาะกันอยู่ในใจระหว่างใจอ่อนกับอ่อนใจ

เธอทำให้ฉันทะเลาะกับตัวเองอยู่ในใจ
ทะเลาะกับตัวเองจนไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไง

24 พฤศจิกายน 2552

you don't know me

We expect too much thus we pain so much
I'm waiting for your word but you are in silence
When I fall down and I'm so blue, I can't find you
I wonder, I know you or never?
But one thing i've just realized is you don't know me

In the night of grief
How could I relief?





14 พฤศจิกายน 2552

ขอบคุณค่ะ

การที่มีใครสักคนบอกกับเราว่า
"การได้มารู้จักกับเรา ทำให้โลกของเขาน่าอยู่ขึ้น"
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหน มันก็ทำให้คนฟังหัวใจพองโต
และรู้สึกขอบคุณความรู้สึกดีดีแบบนั้นเช่นกัน

"ขอบคุณค่ะ"

11 พฤศจิกายน 2552

ฟ้าฝนกับความเข้มแข็งในหัวใจ

เดือนพฤศจิกายน ตามฤดูกาลหน้าหนาวกำลังเดินทางมาถึงแล้ว แต่ปีหลังๆมานี้ดูเหมือนโลกของเราฤดูกาลแปรปรวนสับสนไปหมด ขณะที่กำลังนั่งเขียนบล็อคอยู่นี้ สายฝนก็กำลังปลิวถี่ยิบอยู่ข้างนอกหน้าต่าง สีฟ้าหม่นๆของฟ้า สีขาวเทาๆของเมฆ ความเย็นยะเยือกของไอชื้น ทั้งหมดทั้งมวลมันส่งผลกระทบถึงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์จำนวนไม่น้อย รวมทั้งเราด้วย วันไหนฟ้าใสแดดออก พาเอาอารมณ์เบิกบานแจ่มใส วันไหนฟ้าหม่น ทำเอาใจเทาไปด้วย เหมือนความรู้สึกตอนตื่นนอน ตื่นมาแช่มชื่น ก็จะรื่นเริงรับวันใหม่ แต่วันไหนตื่นมาหัวใจหดหู่ วันนั้นจะไม่ใช่วันของเราเลย ซึ่งหลายครั้งฉันก็สงสัยนะ ว่ามันจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่อุปทานจากความง่วงงุน และอุปทานจากความอ่อนไหว

พี่คนหนึ่งเคยบอกกับฉันว่า "วันดีดีของพี่คือวันที่มีแดด" ฉันยิ้มกับประโยคนี้ได้เสมอ และมักจะนึกถึงยิ้มกว้างของคนกล่าวด้วย

แต่ในวันนี้ วันที่ไม่มีแดด วันที่ฟ้าเป็นสีเทา เราจะทำอย่างไรให้มันเป็นวันดีดีของเราเช่นกัน เราคงสร้างมันได้ด้วยจิตใจที่แข็งแรง ใจที่อ่อนไหว อาจไม่ใช่ใจที่อ่อนแอ

เท่าที่รู้วันนี้ไม่ใช่วันฟ้าหม่นของฉันแค่คนเดียว ยังไงก็ขอให้เธอมีจิตใจที่เข้มแข็งด้วยเช่นกัน

9 พฤศจิกายน 2552

ควรจะรู้สึกอย่างไร

แม้ว่าจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนกลางๆ ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย (จนเอามาใช้เป็นชื่อบล็อค) แต่วันนี้เรารู้สึกว่า การดำรงอยู่ตรง "กลาง" มันยากเหลือเกินเช่นกัน ในภาวะที่เราต้องเจอเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบอารมณ์ ความรู้สึก การปรับสมดุลของความรู้สึกตัวเอง กับการยึดถือความเป็นตัวตน อคติ ความระแวงสงสัย มันทำเอาเราแกว่ง จนไม่รู้ว่า กับเรื่องนี้ เราควรจะรู้สึกกับมันยังไงนะ? เท่าไหนจึงจะพอดี? และก็ใช้เวลาปรับตัวปรับใจนานพอดูถึงจะยอมรับมันได้ ซึ่งอาจจะเป็นการยอมรับที่ไม่ทั้งหมดด้วยซ้ำ
บางครั้งมันก็เหนื่อย ที่พบว่าโลกนี้มีแต่คำถาม ที่ทิ้งร้าง รอคอยคำตอบอยู่มากมาย เราเองอยากหาคำตอบ แต่หาเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอ หรือว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ อาจจะไม่มีคำตอบที่เบ็ดเสร็จ ชัดเจน อย่างที่เราเคยคาดหวัง...

18 ตุลาคม 2552

รอ วันดีๆ

ไม่ได้เจอเธอมาตั้งนาน
สำหรับฉัน มันคงนาน เพราะฉันนั้นตั้งตารอ
ดีใจ ที่ได้เจอ แม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันในวันนั้น
ท่ามกลางผู้คนมากมาย เราได้แต่สบตากัน และเพียงส่งรอยยิ้ม
เมื่อหมดวัน ฉันต้องจากไป
ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ จะได้พบกันใหม่อีกครั้ง

มีเรื่องตั้งอีกมากมายอยากจะเล่าให้เธอฟัง
มีเรื่องตั้งอีกมากมายอยากพูดคุย แค่เธอกับฉัน
หวังว่าซักวัน หากได้พบกัน
คงเป็นวันที่เราได้พูดกัน
คงเป็นวันดีๆของเรา

เหงาเล็กๆเมื่อหมดวัน ใจหายเล็กๆเมื่อจากกัน
ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นเหมือนกันบ้างไหม
หรืออาจจะมีเพียงฉัน ที่เพ้อ ที่ฝัน คิดมากไป

มีเรื่องตั้งอีกมากมายอยากจะเล่าให้เธอฟัง
มีเรื่องตั้งอีกมากมายอยากพูดคุย แค่เธอกับฉัน
หวังว่าซักวัน หากได้พบกัน
คงเป็นวันที่เราได้พูดกัน
คงเป็นวันดีๆของเรา

**********************


ถ้อยคำเหล่านี้มีท่วงทำนองด้วยนะ แต่อย่าให้ร้องให้ฟังเลย อาย...
เคยเขียนไว้นานแล้ว ในวันที่มีความรู้สึกว่า อยากเจอคนที่เรารอคอยจะเจอ แต่เมื่อได้เจอกัน ก็มีเรื่องโน่นนี่นั่นมากมาย วุ่นวาย จนไม่ได้คุยกันให้สมกับที่รอคอย เสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอกันอีกทีเมื่อไหร่ แต่ลึกๆในใจทำไมมั่นใจไม่รู้ ว่าจะต้องได้เจอกันอีก

8 ตุลาคม 2552

นิยายของคุณดวงตะวัน


จุดเริ่มต้นของการอ่านของเราในวัยเด็ก เริ่มต้นมาจากนวนิยายรักที่เรียงรายอยู่ในตู้หนังสือของพี่สาว ทั้งนิยายของ โสภาค สุวรรณ, ทมยันตี, กิ่งฉัตร, แก้วเก้า, ปิยะพร ศักดิ์เกษม, โสภี พรรณราย, ประภัสสร เสวิกุล, โบตั๋น และนักเขียนท่านอื่นๆอีกมากมาย อ่านมันจนหมดตู้ของพี่สาว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสนใจและหลงใหลโลกของการอ่านที่พาเราไปเรียนรู้้นอกเหนือจากสิ่งที่เราเคยรู้ เมื่ออ่านนิยายเหล่านี้มาจนถึงช่วงอายุหนึ่ง อาจเป็นได้ว่ารู้สึกอิ่มตัว และอยากแสวงหาเรื่องราวรูปแบบอื่นๆที่ยังไม่เคยได้สัมผัส จึงทำให้เราลองค่อยๆเปลี่ยนแนวหนังสือที่อ่านไปทีละเล็กทีละน้อยตามความเชื่อมโยงในชีวิตหรือความสนใจใคร่รู้ในช่วงชีวิตตอนนั้น ทำให้ร้างลาการอ่านนิยายรักไปนานทีเดียว และช่วงหนึ่งที่ฉันได้กลับมาอ่านมันใหม่อีกครั้ง กับงานเขียนของคุณดวงตะวัน เรื่อง รุ้งจันทร์ตะวันดาว ที่จะต้องอ่านประกอบการเรียน ทำให้ฉันกลายเป็นแฟนนวนิยายของคุณดวงตะวันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิยายในชุดเมืองสมมติ ธิโมส์ ซึ่ง เริ่มต้นที่เรื่อง รุ้งจันทร์ตะวันดาว ,รักที่ริมทะเลเมฆ, ดอกไม้และสายลม, ปราสาททรายในสายฝน, ผีเสื้อลายตะวัน, บัลลังก์บุหลัน, ณ ที่ดาวพราวพร่างรัก, เอลันตรา และคิดว่าคงยังจะมีผลงานนวนิยายชุดเมืองสมมตินี้ออกมาอีกเรื่อยๆ

สิ่งที่ฉันชอบในนวนิยายของคุณดวงตะวันคือ นอกจากที่มันจะสนุกแล้ว มันยังมีประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง ที่บางครั้งมันช่างคู่ขนานไปกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงสดๆร้อนๆ ราวกับกำลังสะท้อน ล้อเลียน เสียดสี ให้เราคิดตามไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผ่านสิ่งที่เสพง่ายของเนื้อหาในนิยาย และที่ฉันชอบเป็นพิเศษในนวนิยายเมืองสมมติธิโมส์คือ ธิโมส์ของคุณดวงตะวันนั้น ทำให้ฉันนึกภาพประเทศๆหนึ่ง ที่มีประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม อารยธรรม ระบบเศรษฐกิจ ของตนเองอย่างจริงจัง เป็นตุเป็นตะ ซึ่งคุณดวงตะวันสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้อย่างน่าสนใจ และผูกโยงเรื่องราวในแต่ละเล่มได้เข้มข้นสนุกสนาน ทำให้ฉันจมดิ่งกับการอ่านจนลืมเวลาไปซะทุกครั้ง และพระเอกแต่ละคนของคุณดวงตะวันก็แทบจะรวมคุณสมบัติของผู้ชายในฝันของผู้หญิงเอาไว้แทบทั้งหมด ทำให้คนอ่าน (อย่างฉัน) ยอมหลุดออกจากโลกของความเป็นจริงด้วยความยินดี :)

ตอนนี้เพิ่งอ่าน ณ ที่ดาวพราวพร่างรักจบ และกำลังอยากอ่านประวัติศาสตร์ของธิโมส์และตัวละครที่ถูกทิ้งค้างให้สงสัยต่อ ใน เอลันตรา และจะรอคอยติดตามนวนิยายในชุดเมืองสมมตินี้ต่อไปค่ะ

ปล. ขอขอบคุณ นวนิยายในชุดนี้ ที่ช่วยพาหลุดหลีกหนีไปจากภาวะอาการจิตตก คุณช่วยฉันมาหลายครั้งแล้ว รวมทั้งครั้งนี้ด้วย :)

6 ตุลาคม 2552

คาถาปลอบโยนความอ่อนแอ

ขอยกตัวหนังสือของ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล มาทั้งหน้า
ขอพึ่งเป็นคาถาท่องจำ ย้ำเตือนพร่ำสอนตนเอง ในวันที่จิตใจอ่อนแอ อ่อนล้า เพราะความพลัดพราก

จากหนังสือบุตรธิดาแห่งดวงดาว -- เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ทะเลในสายฝน

ในห้วงนึก เธอปรารถนาเป็นหนึ่งเดียว และการแยกไปของใครคนนั้นทิ้งเธอไว้ไม่ครบถ้วน
แต่การจากไปของคนที่เธอรัก ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการจากไปของความรัก
เช่นเดียวกับละอองเมฆที่เดินทางออกจากท้องทะเล มันเป็นเพียงห้วงยามแห่งการเปลี่ยนแปลง
ถ้าในดวงจิตของเธอมีความรัก ความรักจะไม่มีวันหายไปไหน
เพียงแต่บางครั้ง เธอต้องอยู่กับความรักโดยลำพัง
ผ่านแดดเผาลมผ่าน เพื่อกลายเป็นสายฝนฉ่ำสำหรับใครอีกคน

ทะเลส่งเมฆให้ฟากฟ้า
ฟ้ามอบเมฆให้แผ่นดิน
แผ่นดินพาน้ำเมฆกลับทะเล
แล้วผู้ใดเล่าอาจเอ่ยว่านั่นคือการสูญเสียเลวทราม

ตลอดช่วงชีวิตของเราท่าน มีใครบ้างที่ไม่เคยพลัดพราก มีใครบ้างที่ไม่เคยกล่าวคำอำลา
ทว่ามีใครบ้างกี่คนที่จะรู้ว่าการพลัดพรากไม่มีจริง
ใช่หรือไม่ว่า เธอเลือกรู้สึก "พลัดพราก" กับบางคนที่ตัวเองอยากล่่ามร้อย
แต่ชาเฉยกับอีกหลายคนที่ผ่านพบ
ใช่หรือไม่ว่า การพลัดพรากเกิดขึ้น เพราะเธอไม่เคยอนุญาติให้ใครเข้ามาในใจเธอ
มีแต่ตัวเธอที่เฝ้าดูระยะใกล้ไกลของผู้อื่น

ในเมื่อเธอไม่เคยให้ใครเข้ามา
ความจริงย่ิอมไม่มีใครจากไป
เธอเพียงแต่คิดว่าผู้อื่นทิ้งเธอไป
ใจใดที่หวังจองจำใจอื่น...
ย่อมต้องถูกล่ามร้อยด้วยโซ่ตรวนเดียวกัน

ตรงกันข้าม
หากในใจเธอมีผู้อื่น มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจจากไป
ทะเลไม่เคยตามหาเมฆฝนฉันใด
เธอไม่ต้องตามหาความรักฉันนั้น...
เธอคือความรัก และ ความรักคือเธอ

2 ตุลาคม 2552

หากฉันทำให้เธอผิดหวัง

หากฉันทำให้เธอผิดหวัง เธอจะเกลียดฉันไหม
หากฉันทำให้เธอผิดหวัง เธอจะไปจากฉันไหม
หากฉันทำให้เธอผิดหวัง โปรดให้โอกาสฉันอีกครั้งจะได้ไหม
ฉันเองก็เสียใจ เจ็บปวดใจ
ผิดหวังกับตนเองเช่นกันที่ทำให้เธอผิดหวัง
ผิดหวังกับตนเองเช่นกันที่ทำไม่ได้
แต่ฉันก็ยังอยากจะลองพยายามอีกสักครั้ง
จะขอมากไปไหม
หากจะให้เธอวางใจฉันเหมือนเดิม เชื่อมั่นฉันเหมือนเดิม
จะขอมากเกินไปไหม...


28 กรกฎาคม 2552

สมุดบันทึก

สมุดบันทึก กำลังจะหมดไปอีกเล่มหนึ่ง
ทุกครั้งที่ใช้จนหมดเล่ม เราจะรู้สึกถึงความสิ้นสุด และรู้สึกถึงการได้เริ่มต้นใหม่
ตัวหนังสือ เส้นสาย รูปภาพ ที่บรรจุอยู่ในนั้น
บอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาสั้นๆ ที่หนังสือเล่มนั้นค่อยๆถูกใช้
หน้าแรก หน้าแล้ว หน้าเล่า จนหน้าสุดท้าย
มีเรื่องเศร้า มีเรื่องสุข มีเรื่องเครียด มีเรื่องยิ้ม มีคำบ่น มีคำคิดถึง มีวันยุ่ง มีวันว่าง
เมื่อเดินทางมาถึงหน้าสุดท้าย ก็ถึงเวลาบอกลาจากกัน
ฉันกำลังจะขึ้นเล่มใหม่ แต่ไม่ต้องเศร้าใจไป เพราะฉันจะเก็บรักษาเธอไว้อย่างดี
เธอก็เหมือนภาพสะท้อนของฉันในวันที่ผ่านมา...

19 กรกฎาคม 2552

Wanakorn, Road Less Travel

Wanakorn, Road Less Travel...

บนถนนสายที่ไม่ค่อยมีคนเดินทาง อาจจะดูเป็นเพียงทางผ่านของใครหลายๆคน แต่สำหรับบางคน ความหมายและความสำคัญของมันอาจไม่ใช่แค่จุดหมายที่สวยสดงดงาม

คนเรามีคำนิยาม "ความงาม" ที่ต่างกัน

หาดวนกร อาจจะไม่ใช่ชายหาดที่สวยจับใจ แต่ก็เป็นหาดที่เราประทับใจ เพราะความเงียบสงบ ความเป็นธรรมชาติ และเรื่องราวของการเดินทางที่เราเก็บเกี่ยวกันมา น้ำใจของผู้คนที่ให้เราอาศัยรถ โดยไม่กังขาความแปลกหน้า ระยะทางเดินเท้า 3 กิโลจากปากทางเข้า ทำให้เราซึมซับบรรยากาศ และทำให้เราจดจำช่วงเวลาเล็กๆ ที่เราเดินเท้า แบกข้าวของท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ฝนตกปรอยๆ ลดพัดใบสนไหว แต่เราก็ร่าเริงใจเดินเล่นร้องเพลงท่ามกลางสายฝน ความตั้งใจ และอะไรทั้งหลายทั้งมวลรวมกัน ทำให้เราหลงรักความเรียบง่ายธรรมดาสามัญ แต่แสนจะเป็นธรรมชาติ ของ สถานที่เล็กๆ แห่งนี้

16 กรกฎาคม 2552

you give me a call...

เธอในวันนี้ กับเธอในวันนั้น มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังคงอยู่
ฉันในวันนี้ กับฉันในวั้นนั้น มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังคงอยู่ เช่นกัน
เราไม่ได้คุยกันมานานแค่ไหนแล้วนะ
ชีวิตที่วุ่นวายโลดโผนในโลกของเธอ พาเธอเดินไปไหนถึงไหน
เรื่องราวมากมาย เข้ามาให้เธอต้องรับมือ จนอาจลืมเรื่องเล็กๆที่เคยมีอยู่จริงเมื่อครั้งหนึ่ง
ต่างจากโลกที่หมุนไม่เร็วนักของฉัน ที่อาจจะยังไม่ได้พาฉันไปไหนไกลนัก
ไม่ได้พบเจอผู้คนมากมายนัก ไม่ได้โลดโผนโจนทะยานให้ตื่นเต้นกับชีวิตสักเท่าไหร่
ฉันเลย เหมือนกับว่า ยังคงอยู่ตรงนี้ ยังคงจำได้ในความรู้สึก แม้บางเรื่องราว จะเลือนลางไปตามกาลเวลา
ฉันคิดถึงเธอบางคราว ฉันพูดถึงเธอบางคราว ฉันนึกถึงอ้อมกอดของเธอบางคราว
และฉันดีใจ ที่วันนี้ฉันได้ยินเสียงเธออีกครั้ง แม้จะเป็นความดีใจที่ปนกับหลากหลายความรู้สึก
ฉันบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าความรู้สึกนั้นมีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ฉันไม่ได้โศกเศร้าอะไรกับการไม่มีเธออีกแล้ว ไม่ได้รอคอยอะไรอีกแล้ว
บางครั้ง ฉันแค่ต้องการจะยืนยันอะไรบางอย่างกับตัวเองเท่านั้น
ว่า ฉันได้ทำสิ่งที่ฉันตั้งใจไว้อย่างที่สุด และฉันทำได้
นั่นคือการเก็บเธอไว้ในพื้นที่พิเศษ ที่จะเป็นพื้นที่ของเธอโดยสมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียว
และฉันยังคงเก็บไว้ ไม่เป็นไร แม้เธอจะมีพื้นที่แบบนั้นสำหรับฉันหรือไม่ก็ตาม
เคยบอกเธอไปเมื่อนานแล้ว ไม่รู้ว่ามันยังอยู่ในความทรงจำของเธอบ้างหรือเปล่า
เราไม่ได้คุยกันยาวๆมานานแค่ไหนแล้วนะ
และอย่างที่บอกแหละ ว่าเธอในวันนี้ กับเธอในวันนั้น มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังคงอยู่...

12 กรกฎาคม 2552

วันที่ไม่ทำอะไร

ฉันตื่นมาในห้องที่ไม่ใช่ห้องของฉัน
ปวดหัวหนึบ และท้องไส้ปั่นป่วน
แสงแดด ส่องสว่างเข้ามาในห้อง
ฉันนอนนิ่ง พยายามนึกถึง สิ่งที่จำไม่ได้
ฉันลุกขึ้นมา ดื่มน้ำอุ่น และ เข้าห้องน้ำ
อาหารเช้าตั้งพร้อม เผื่อฉัน อยู่บนโต๊ะอาหาร
ฉันฝืนกินจนหมด เพราะน้ำใจของคนทำ
และกลับไปที่เตียงนอนอีกครั้ง
เจ้าของบ้านใจดี ปล่อยให้ฉันนอนอย่างเงียบๆ
ฉันหลับตา และผลอยหลับไป
ตื่นมาอีกครั้ง ก็เข้าสู่บ่ายที่ร้อนอบอ้าว
ฉันนอนพลิกตัวไปมา ฟังเสียงสิ่งต่างๆที่ขยับอยู่รอบข้าง
ฟังเสียงเพลงเบาๆจากวิทยุ ฟังเสียงฮัมเพลงตาม
ฟังเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ฟังเสียงนกข้างหน้าต่าง
ฉันหลับบ้าง ตื่นบ้าง พลิกตัว เปลี่ยนท่านอน
ยามตื่น ก็ลืมตานอนมองเพดานอย่างสงบนิ่ง
ตัวโล่งๆ หัวหนักๆ สลับกันไป
เจ้าของบ้านเดินเข้ามาดูฉันเป็นครั้งคราว
หัวสมองฉันโล่ง ว่างเปล่า
เป็นวันที่ไม่ได้ทำอะไร และไม่อยากทำอะไร
แต่ฉันรู้สึกดี กับการไม่ต้องทำอะไร
นอนเงียบๆ ฟังเสียงใครเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกห้อง
ละอองของความไว้วางใจ อบอวลอยู่ในมวลอากาศ
ฉันอาจจะรู้สึกดี เพราะสิ่งนี้ก็เป็นได้

10 กรกฎาคม 2552

เจ้านกกระจิบ

นกกระจิบ สองตัวแอบกระโดด จิ๊บ จิ๊บ เป็นจังหวะ
ลอดซุ้มประตูเข้ามาในสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้านฉัน
ฉันจับตามอง แล้วเดินย่องตามมันเบาๆ กลัวมันจะตกใจบินหนีไป
มันไม่รู้หรอกว่า เมื่อวาน ฉันแอบได้ยินมันสองตัวคุยกัน
จุ๊กๆ จิ๊กๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ จุ๊กๆ จิ๊กๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ
มันคุยกันเสียงดัง ให้ฉันได้ยินว่า บางวันมันก็เบื่อที่จะขยับปีกบิน
มันเลย กระโดด จิ๊บ จิ๊บ ไปมา พร้อมกับกวาดสายตาหาอาหารบนพื้นหญ้า
และมันสองตัวอยากจะใช้สนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้านเป็นที่ปิกนิคคุยกัน
ฉันดีใจ ที่จะได้เห็นเจ้านกกระจิบสองตัว มาที่บ้านฉันบ่อยๆ
จะได้นอนฟังเสียง จุ๊กๆ จิ๊กๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ จุ๊กๆ จิ๊กๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ
จะรอจนมันวางใจ แล้วขอฉันเข้าไปคุยด้วยคนนะ
อย่าเพิ่งบินหนีไปล่ะ...

16 มิถุนายน 2552

ผ่านพบ แล้วผูกพัน...

ผ่านพบไม่ผูกพัน บางทีอาจลึกซึ้งยั่งยืนกว่า้ร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่างด้วยโซ่ตรวนที่มักตั้งชื่อผิดๆว่า ความรัก

และความจริงแท้ของชีวิตก็มิใช่อันใดอื่นนอกจากเกิดโดยลำพัง ตายโดยลำพัง ระหว่างนั้นเป็นการเดินทางโดยลำพัง เช่นนี้แล้ว ใช่หรือไม่ว่า การเดินทางคือลานฝึกความรู้แจ้งเกี่ยวกับแก่นแท้ของความเป็นคน

ผ่านพบไม่ผูกพัน ** เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

เมื่อผ่านพบ มักจะก่อให้เกิดความผูกพัน เมื่อผูกพันกันก็อยากจะรักษาเรื่องราวดีๆเอาไว้ให้นานที่สุด แต่ในบางครั้งเมื่อคนเราออกเดินทาง และพบผู้คนใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เราก็มิอาจปิดกั้นความเสรีทางจิตใจของใครได้ แม้จะใจหายและรู้สึกโดดเดี่ยว แต่เราคงจะไม่ยึดโยงเขาเอาไว้ ให้เขาออกบินไปตามใจปรารถนา ให้สายใยของเราสัมพันธ์กันอย่างแข็งแรงภายใต้อะไรที่มองไม่เห็น เราไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ดีแค่ไหน จะรักษาเค้าไว้ในชีวิตเราได้นานแค่ไหน และจะอยู่เพียงลำพังได้ดีขนาดไหน

แม้จะรัก แต่อย่างไร ก็จงทำตามใจปรารถนาของเธอเถิด

9 มิถุนายน 2552

ฉันไม่ชอบไปหาหมอ

ฉันไม่ชอบไปหาหมอ
เมื่อตอนเล็กๆ เวลาไปหาหมอก็จะมีแม่พาไป ให้รู้สึกอุ่นใจ แต่เมื่อโตขึ้น ต้องไปเองแล้ว การไปหาหมอจึงเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยว ทั้งร่างกายที่อ่อนแอ ทั้งยังต้องไปเผชิญการบอกกล่าวว่าป่วยเป็นอะไร อย่างเดียวดาย และโลกของการแพทย์ก็มีขั้นตอน ศัพท์แสงมากมายที่เราไม่เข้าใจ แต่บางครั้งมันก็ไม่ไปไม่ได้ ทำให้จะรู้สึกอิดๆออดๆ เมื่อแม่สั่งให้ไปหาหมอ ไม่อยากไปเลย

5 มิถุนายน 2552

การอำนวยความสะดวก ในการเดินทาง สู่ สุขคติ...


Departures
By Yojiro Takita
การอำนวยความสะดวก ในการเดินทาง
สู่ สุขคติ...


เราอาจมองความตายเป็นจุดสิ้นสุด เป็นตอนจบ หรือเป็นฝั่งตรงกันข้ามของการมีชีวิตอยู่ แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ ความตายเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นจูดเริ่มต้นไปสู่อนาคตที่ไม่มีใครล่วงรู้

เรื่องของความตายและคนตาย เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้ ทั้งชีวิตและวิญญาณย่อมต้องการความรักและความใส่ใจ

หนังเรื่องนี้แม้จะกล่าวถึงสิ่งธรรมดาที่น่าโศกเศร้าอย่างความตาย แต่ดูแล้วกลับรู้สึกถึงกำลังใจ สำหรับการดำรงชีวิตอยู่

ทั้งบท ทั้งภาพ ทั้งการแสดง ให้ความรู้สึกที่เต็มอิ่ม และสมบูรณ์






4 มิถุนายน 2552

กับสิ่งเล็กน้อย

รู้สึก หงุดหงิด และรำคาญตัวเองเล็กน้อย
เมื่อ รู้สึกว่าตัวเอง "อิจฉา"
สิ่งที่เราเคยได้ ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงไป
อาจจะเล็กๆน้อยๆ แต่เราสะดุดกับมันทุกครั้ง
และก็พยายาม กดข่มความรู้สึกนั้นเอาไว้
เพราะมัน ไม่ใช่เรื่อง อาจจะดูงี่เง่า ถ้าเราบอกออกไป
ทำอย่างไรดีนะ เมื่อเป็นเช่นนี้

2 มิถุนายน 2552

ชีวิตเต่าๆ


Turtles swim faster than expected
by Satoshi Miki

ชีวิตจืดๆ เรียบๆ ธรรมดาๆ ราบเรียบเกินไป จนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
อยู่บ้านรอคอยโทรศัพท์ ตอบคำถามซ้ำๆ ให้อาหารเต่า กินราเม็งที่จืดชืดไร้รส
ใช้ชีวิตกิจวัตรซ้ำๆ อยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ จะทำอะไรล่ะ

จนวันหนึ่ง ชะตาชีวิตก็เล่นตลก
สร้างโจทย์มาให้ ว่าต้องมาเป็น สายลับ
แล้วสายลับ เค้าเป็นกันยังไงนะ

สายลับ ก็ต้องทำตัวให้ธรรมดาที่สุด ที่จะไม่ให้ใครสงสัย
กลายเป็นว่า ต้องกลับมาเป็นตัวของตัวเองที่แสนจะธรรมดา
แต่น่าแปลก ทำไมชีวิตธรรมดาที่ทำอยู่ทุกวัน มันสนุกดีมีสีสัน และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



ในความธรรมดา ความเบาหวิว บางครั้งมันก็หนักอึ้ง
หนังเรื่องนี้ หน้าตาบอกว่าเป็นหนังตลก ซึ่งในความเห็นเรา เราว่ามันเป็นหนังเพี้ยนๆที่น่ารักดี และยังพูดถึงแง่มุมความธรรมดาของชีวิตได้น่าสนใจ และก็แอบเศร้า กับชีวิตอันโดดเดี่ยวของนางเอก ซึ่งแม้จะนำเสนอให้ดูตลกๆ แปลกๆ แต่ก็ยังทำให้เรารู้สึกเหงาใจได้อยู่ดี

น้องจูริ นางเอกของเรื่อง และ น้องยู เพื่อนนางเอก เล่นได้น่ารักเช่นเคย

25 พฤษภาคม 2552

ถนนนางงาม ถนนเส้นงามของสงขลา

เก็บภาพมาฝาก
ถนนนางงาม ถนนเส้นงามของสงขลา



ย่านนี้มีของอร่อยเพียบ มีเค๊กอินโดนีเซียน ขนมสัมปันนี
ทุเรียนกวนย่าง ขนมขี้มอด ขนมทองเอก
และอื่นๆอีกมากมาย



ย่านเก่าแก่ บ้านเรือนแปลกตา


บ้านสวย ดูเพลิน เิดินเล่นสบาย

และเป็นย่านที่มีศาลเจ้าสีแดงๆอยู่เต็มไปหมด



ของข้างในศาลเจ้า ก็มีแต่สีแดง





โรงงิ้วในศาลเจ้า เห็นโต๊ะเก้าอี้เล็กๆใต้โรงงิ้วไหม นั่นคือร้านก๋วยเตี๋ยวจิ๋ว เด็กๆคงนั่งกินกันสบาย



สีกำแพงบ้าน ตัดกับสีกำแพงศาลเจ้า เขียวสดใส



โหลกะหรี่ปั้ป ท่าทางน่ากิน วางขายคู่กันในร้านซาลาเปา



เดินไปเดินมา เจอะบ้านคน บ้า ศิลปะ ไม่รู้ว่าจงใจทำตัว น หายรึเปล่า



ในความเก่า มีความงาม และความหมาย


เจอกล่องไปรษณีย์สีฟ้า น่ารัก

เที่ยวในเมืองสงขลา อิ่มใจ อิ่มตา และอิ่มพุง



24 พฤษภาคม 2552

Sunday Morning, wake up lonely...

Sunday Morning, wake up lonely...

แดดอ้าวๆ ฟ้าหม่นๆ ลืมตาตื่นนอนอย่างเดียวดาย

พายุฤดูร้อน ฝนตกตลอดเวลา
ความคาดหวังในวันว่าง
ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังสักอย่าง
อาจเป็นเพราะ คาดหวัง
อยากจะเอาใจอารมณ์ตัวเองมากเกินไป
ไม่มีเรื่องใดเศร้าใจเป็นพิเศษ
แต่เป็นสิ่งไร้แก่นสารที่พลาดผิด มารวมกัน

So depress in everylittle things...

นั่งเฉยๆ ให้ลมพัดผ่าน
รอคอยให้สัปดาห์แสนเศร้าผ่านพ้นไป
เรื่องอะไรที่ต้องเผชิญ ก็จงเผชิญ
จะไม่หลบหลีกใดๆ อีกแล้ว

9 พฤษภาคม 2552

หนังสือ สำหรับคนขี้อิจฉา


"Whatever else it is, Envy is above all a great waste of mental energy."**Joseph Epstein.
"Envy is pain at the good fortune of others."**Aristotle

ในบรรดาบาปต้นทั้ง7ประการ ความอิจฉา เป็นบาปที่ไม่สนุกเอาเสียเลย ความอิจฉานั้นมีอยู่หลายระดับตามความเข้มข้นของอารมณ์ และมักจะเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจอย่างแนบเนียน จนบางครั้งเราไม่รู้ตัว หรือ กระดากอายเกินกว่าที่จะยอมรับว่า "เราอิจฉา" ช่างเจ็บปวดเพียงใดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความเลิศล้ำของผู้ที่เราอิจฉา ทำไมถึงไม่เป็นเราบ้าง ทำไม? เป็นการยากที่คนที่กำลังมีความอิจฉาจะตระหนักว่าความอิจฉา คือการวางยาพิษจิตใจตนเอง และมักจะเกี่ยวกับสิ่งที่ ตัวเราขาด หรือมีน้อยกว่าสิ่งที่คนอื่นมี ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับใครเป็นเรื่องเข้าใจง่าย แต่ที่เข้าใจยาก น่ากลัว และเศร้าสลดกว่าคือ การที่คนเราสามารถอิจฉาได้แม้กระทั่งคนที่เรารัก และคนที่รักเรา หรือกำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น

ใครกันหนอที่ใส่ความรู้สึกอิจฉาให้กับมนุษย์?

สำหรับคนขี้อิจฉาอย่างเรา หนังสือเล่มนี้ พาเราไปทำความรู้จักกับอารมณ์ อิจฉา ที่หลายครั้ง เราไม่ชอบ และไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้เอาเสียเลย ความอิจฉาก่อให้เกิดความทุกข์ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และก็ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเรากำลังอิจฉา บางทีการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกนี้ อาจจะช่วยให้จัดการกับมันได้ดีขึ้นก็ได้ อาจจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราหวังว่าจะจัดการ และอยู่กับมันได้

หาอ่านได้นะคะื เขียนได้สนุกเพลิดเพลินดี และคุณจะเข้าใจ บาปชนิดนี้ได้มากขึ้น
มีฉบับแปลภาษาไทย โดยสำนักพิมพ์คบไฟ ชื่อว่า "อิจฉา" อยู่ในชุด สนุกกับบาปต้นเจ็ดประการ
เขียนโดย Joseph Epstein และแปลโดย ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์

7 พฤษภาคม 2552

คิดถึง...

คิดถึง รถเปอร์โยเก่าแก่สีขาวครีม
คิดถึง การได้นั่งรถที่มีพ่อเป็นคนขับ
คิดถึง บ้านเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวของ
คิดถึง กองยางรถยนต์ กองแบตเตอร์รี่
คิดถึง ประตูไม้สีน้ำเงินหลังบ้าน
คิดถึง ตู้ไม้ ตู้เหล็ก ที่เก็บของสารพัด
คิดถึง เตียงใหญ่ ที่มีสติ๊กเกอร์ติดอยู่รอบเตียง
คิดถึง ดาดฟ้า ที่มีต้นโป๊ยเซียน
คิดถึง ผัดผักกระเฉด ที่แม่ชอบทำให้กินตอนเช้า
คิดถึง ข้าวกับหมูปิ้งใส่ซอส
คิดถึง ตลาดใกล้บ้าน ที่เราไปกินคั่วไก่เสมอๆ
คิดถึง ถนนหน้าบ้านที่เคยเดินผ่านนับครั้งไม่ถ้วน
คิดถึง บรรยากาศของการมีเพื่อนบ้าน
คิดถึง อดีต...

4 พฤษภาคม 2552

ก่อนและหลัง ฉันหลับตา

ก่อนที่จะหลับตา
ก่อนที่จะหลับใหล
ฉันชอบ ใช้เวลาสั้นๆ ก่อนนอนหลับ
ในการ คิดถึงสิ่งที่อยากคิด รู้สึกในสิ่งที่รู้สึก
จะปล่อยใจให้คิด ให้รู้สึก ตามใจ
ในแต่ละค่ำคืน สิ่งที่ฉันอยากคิด อยากรู้สึก
มักจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
มาชนกันบ้าง มาซ้ำเดิมบ้าง ในบางเวลา
บางคืนก็เป็นสิ่งที่รู้สึกอยู่ลึกสุดใจ
บางคืนก็เป็นสิ่งที่ฉันเองยังแปลกใจ
คิดเพ้อฝัน ล่องลอยไปไกล
ก่อนจะผลอยหลับไปในห้องที่ปิดไฟมืด
ฉันไม่ชอบการนอนหลับฝัน
ฉันชอบที่จะนอนหลับสนิท
เหมือนหยุดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
ไม่ต้องฝันอะไร สงบอยู่ในห้วงนิทรา
เพราะเป็นความเชื่อเอาเองอยู่คนเดียวว่า
เพ้อฝันในเวลาตื่น จะได้ไม่เพ้อฝันในเวลาหลับ
ความฝันยามตื่น ฉันควบคุมมันได้
แต่ความฝันยามหลับเล่า ไม่อาจล่วงรู้

ดึกแล้ว
หากจะอวยพรฉันสักหน่อย
ขอเธอจงขอให้ฉันนั้น คิดถึงและรู้สึกอย่างเป็นสุข และนอนหลับสนิทโดยไม่ฝันอะไรเลย...

29 เมษายน 2552

ความทรงจำใกล้หมดอายุ

บางเรื่องราวที่เราเคยตั้งใจไว้ว่า เป็นสิ่งพิเศษ และจะไม่มีวันลืมสิ่งนั้น
แต่วันนี้ กลับมานั่งนึกถึงมัน แต่กลับเลือนลางเต็มที หรือนี่คือ "ความทรงจำหมดอายุ"

จำได้ว่า เคยเขียน บันทึก บางสิ่งบางอย่าง เพื่อรอที่จะมอบให้กับคนคนหนึ่ง
วันนี้ กลับนึกไม่ออกจริงๆ ว่า สมุดเล่มนั้น มีอยู่จริงหรือเปล่า
หรือเปลวแดดไอร้อน ทำให้ฝันกลางวันถึงเรื่องราวเก่าๆ
บางวาบ ก็รู้สึกว่า สมุดเล่มนั้น มีอยู่จริง และเราได้มอบมันให้กับเขาไปแล้ว
แต่บางวาบ ก็รู้สึก เหมือนสมุดเล่มนั้นยังอยู่กับเรา หลบอยู่ในซอกกล่องใบใดใบหนึ่ง
มันมาเป็นห้วงๆ เหมือนคนความจำเสื่อมในละคร
จนตอนนี้ ยังนึกไม่ออกเลย ว่า สมุดเล่มนั้น เป็นเพียงนิยายในอากาศ หรือ เป็นความทรงจำลึกซึ้งที่เคยเกิดขึ้นจริง เมื่อหลายปีก่อน...

ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วแท้ๆว่าจะไม่มีวันลืม แต่ตอนนี้กลับกำลังจะหลงลืม
ที่น่าตกใจคือ มันมาเร็วกว่าที่เราคิดมากนัก

26 เมษายน 2552

Messege in the air

บางความรู้สึก ได้เกิดขึ้น
อยากบอก แต่ไม่จำเป็นต้องบอก
แต่ก็ยังอยากบอก
เลยบอก กับเธอไกลๆ
ให้ข้อความล่องลอยไป ในอากาศ

รู้สึกกับเธออย่างนี้
รู้สึกสบายดี สบายใจ
แต่ไม่เคยบอกใคร
แค่มัน ดี ดี ดี

ความรู้สึกดี
วันนี้มี วันหน้าอาจจะหมด
แต่ วันนึง มันเคยเกิดขึ้น
เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้

ขอบคุณความใจดี
น้ำใจดีดี ที่มีให้กัน
น่าแปลกไหม ที่เวลาสั้นๆ
กลับทำให้รู้สึกอะไรมากมาย

สำหรับเธอ
เราเป็นเพื่อนกันแล้วหรือยัง
ไม่ใช่แค่คนรู้จักกันใช่ไหม

ไม่รู้จะำได้พบเธออีกเมื่อไหร่
อยู่ห่างกันตั้งไกล
ได้แต่เก็บน้ำใจเธอกลับมา

ยิ้มซื่อๆใสๆ ให้กันหน่อย
หากพบกันในคราวหน้า
บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมา
หวังว่าสักวันคงพบกัน


dedicate to an anonymous friend from a far away town.

"ความรู้สึกดี ไม่ได้หมายถึงเรื่องความรักเสมอไป"

ปล. มันพอจะเป็นเพลงได้ไหมเนี่ย???

25 เมษายน 2552

โชคดีเสียจริง การเดินทางครั้งนี้

เมื่อเราเดินทาง ไม่ใช่ตัวเราแค่เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง
แต่เรากำลังพาตัวตนและความคิด ออกไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ
ในการเดินทางครั้งล่าสุด ทำให้เราได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนทั้งกับตัวเอง และผุ้คนรอบข้าง
ซึ่งเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างไปโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ลองมานั่งนึกทบทวน ก็อดยิ้มไม่ได้กับบรรยากาศดีดีที่เพิ่งได้พบเจอมา
น้ำใจที่ใสแจ๋ว ของพี่ๆที่เราได้รู้จัก หรือแม้กระทั่งน้ำใจคนที่เราไม่รู้จัก
เรื่องราวของคนที่เราต้องเข้าไปพูดคุยด้วย ที่เป็นการเปิดโลก ให้เราเห็นว่า คนอื่นๆบนโลกนี้เค้าทำอะไรกันอยู่
บรรยากาศบ้านเมืองที่สงบเงียบไม่วุ่นวาย ปล่อยให้เวลาทอดเอื่อย
นอกจากเป็นการทำงานแล้ว ก็ยังเป็นการสำรวจตนเอง ว่าเวลาต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ใสถานการณ์ต่างๆ ที่แปลกออกไปจากวันปกติ ตัวเองเป็นอย่างไร จัดการอย่างไร
ได้พูดคุยกับพี่ ผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต ที่มีบางอย่างคล้ายกัน ปัญหาขมๆ ที่เราต่างต้องเจอ พูดคุยเรื่องชีวิต อนาคต ความรัก ความคิด ความใฝฝัน
แม้หลายเรื่องในชีวิตเราจะไม่ได้โชคดี แต่การเดินทางครั้งนี้ นั้นก็โชคดีเสียจริง ที่ได้พบกับเรื่องราวดีๆ ผู้คนดีๆ
ทำให้อย่างน้อยมีแรง มีกำลังใจ ทำสิ่งที่เราต้องทำ อยากทำ ต่อไป

15 เมษายน 2552

ใครกันที่ผิด

เรื่องนี้ไม่รู้จะโทษใคร ชะตากรรม ฟ้า ดิน หรือว่าใคร
ไม่เข้าใจเลย และทำใจให้เข้าใจไม่ได้จริงๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยอคติ บนความพยายามที่จะบอกว่าไม่ได้มีอคติ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่จริง จัดวาง ให้มันเป็นในแบบที่คิดว่าควรจะเป็น
แต่ ควรจะเป็น คำนี้มันของใคร เพื่อใคร เพื่ออะไร
เราใช้ความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งต่างๆที่ไม่เคยได้พูดออกไป
เกลียด เสียงหัวเราะที่ไม่ใช่เสียงหัวเราะ
มันเสแสร้ง ประดิษฐ์ประดอยเกินกว่าจะออกมาจากความจริงใจ
ทำให้มันกลายเป็นแค่การแสยะแยกเขี้ยวให้เสียงสูงเสียดแทงออกมาจากปากเท่านั้น
ความสุข จึงไม่เคยเกิด ทั้งผู้คาดหวังและผู้ถูกคาดหวัง
เกลียดการถูกปฏิบัติที่เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด คำพูดที่ไม่ผ่านการยั้งคิด
ราวกับไม่ใช่การสนทนาของมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน
และไม่สามารถโต้แย้งความเห็นต่างออกไปได้
เนื่องจากกรอบทางสังคมบางอย่างมั้นค้ำคอ บุญคุณ มันกัดกินจนน้ำท่วมปาก
กรอบทางสังคมมันบีบรัด เกินกว่าจะพูดอะไรออกไปได้
จะทำอย่างไร เมื่อพูด ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางเข้าใจ และไม่มีทางถูกในสายตา
จะทำอย่างไร เมื่อไม่พูด ก็อัดอั้น และราวกับเรื่องเหล่านั้นไม่มีอยู่ในโลก
พูดตรงๆ ก็ไม่เคยเป็นการพูดตรงๆอย่างแท้จริง
คนเรามักไม่เคยมองตัวเองผิด แม้กระทั่งตัวเราเองในยามนี้
ความไม่พอใจ ความโกรธ มันบดบัง ยากเกินกว่าจะยอมรับ
คนเรา ไม่ใช่ว่า จะทำอย่างไรก็ได้กับเขา ด้วยสาเหตุที่ว่า ก็ฉันเป็นคนแบบนี้
เกลียดคำนี้เป็นที่สุด "ก็ฉันเป็นคนแบบนี้"
มันเรียกร้องจากคนอื่นมากไปไหม
ในเมื่อคุณไม่ได้แลกมันมากับการพยายามทำความเข้าใจคนอื่นเลย
ไม่ใช่เหตุผล และเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
คนเราก็ควรจะแสดงความรู้สึก หรือความจริงใจออกมาต่อเมื่อเรารู้สึกไม่ใช่หรือ
ไม่ใช่ฝืนทำ แกล้งทำ เพื่อให้เกิดสันติปลอมๆ
หากมันไม่ได้ออกมาจากความจริงใจ มันจะเกิดความสุขสันติในใจได้อย่างไร
คนที่บอกว่าได้ปล่อยวางแล้ว กลับกำลังหอบถือ อยู่อย่างรกรุงรัง ไม่รู้ตัว
แล้วจะใครเชื่อ ใครฟังได้อย่างไร ในเมื่อคุณเองก็ไม่เห็นจะทำในสิ่งที่สั่งสอน
แรงกดดันใต้พื้นผิวน้ำนั้นรุนแรงนัก และเมื่อเธอไม่เคยระแวดระวัง
มันอาจส่งผลรุนแรงเกินกว่าจะคาดคิด ฉันไม่รับประกัน
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า สำหรับใครบางคน
การักษา หน้าตา ให้ดูรักกัน กลมเกลียวกัน
กับการที่ต้องอยู่อย่างทนทุกข์ ด้วยปัญหาคาราคาซังที่เรื้อรัง
คุ้มกันไหม บางคนอาจจะพยายามรักษามันไว้อย่างยิ่งยวด
แต่เรา ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หากมันยังเต็มไปด้วยอคติ และความไม่คำนึงถึงจิตใจกันและกันแบบนี้

10 เมษายน 2552

ความลับของถ้วยชา

ถ้วยชาเก่าแก่ใบหนึ่ง มันถูกเก็บอยู่ในตู้เก็บของมาเป็นเวลายาวนาน นานจนผู้เป็นเจ้าของไม่มีโอกาสได้ใช้มันกินชาอุ่น จนวันหนึ่งมันได้ตกทอดมาอยู่ในมือของรุ่นลูก ที่รื้อตู้เก็บของเก่าๆ เมื่อพบถ้วยชาใบนี้ ก็เห็นว่า ถ้วยชาใบนี้สวยดีจริงๆ จึงหวังใจจะเอามาใช้เป็นถ้วยใส่น้ำชา มันเป็นถ้วยกระเบื้องสีขาว คาดลายแผงสีเขียวเข้มที่เต็มไปด้วยอักษรภาษาญี่ปุ่นที่อ่านไม่ออก แลดูเก่าแก่ น่าเกรงขาม

แต่แล้ว เมื่อถ้วยชาโดนน้ำร้อน ความลับก็ปรากฎ...

ตัวอักษรลายตา พร่าเลือนไป ถูกแทนที่ด้วยรูปกายของหญิงสาวที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์

เมื่อเห็นดังนั้น คนถือก็ตกใจ งงงวยไปเสี้ยวนาที กับความลับที่คลี่คลาย
เป็นความจงใจใส่อารมณ์ขันของเจ้าของถ้วยชา หรือเจ้าของเองก็ไม่เคยรู้ว่าในถ้วยชา มีหญิงสาวทอดกายหลบซ่อนอยู่

ปล. ถ้วยชานี้ มีอยู่จริง แต่ความตั้งใจของเจ้าของถ้วยชานั้นไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ทำให้ผู้ค้นพบ ยิ้มขำในภาพที่ปรากฎ

8 เมษายน 2552

เดินทางไกลด้วยรอยยิ้ม

วันนี้ ไปเดินทางไกลมา
ในเมืองวุ่นวาย เลยอยู่นอกเมือง
นั่งรถ ข้ามเรือ ถึง เกาะเกร็ด
กิน กิน กิน และก็ เดิน เดิน เดิน
เราเดินรอบเกาะ
ระยะทาง 6 กิโล
ท้าทาย แสงแดด และลมร้อน
ไกล ไกล ไกลจนไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง
แต่ก็มั่นใจว่ามันต้องถึง
เดินไป คุยไป
เดินไป หัวเราะไป
เดินไป ยิ้มไป
ทางไกล แต่ไม่เลยที่จะหวั่นใจ
เมื่อยก็นั่ง เหนื่อยก็พัก
เก็บมะปราง ลิ้นจี่ กินข้างทาง
แดดร้อนระอุ แต่ในใจเปี่ยมสุข
ต้นไม้ ใบหญ้า และเพื่อนร่วมทาง
ทุกอย่าง ช่างรื่นรม

ช่างเป็นวันดีดี ที่ได้ "เดินทางไกล" ไปด้วยกัน

แม้ว่าจะมาค้นพบว่ามีจักรยานให้เช่ากลางทางก็เถอะ

จดหมายถึงอัสดง

ถึง อัสดง

ยินดี ที่ได้รับฟัง
ฉันเศร้าใจ ยามเธอเศร้าใจ
ราวกับมันได้เกิดขึ้นกับตัวฉันเอง
ดีใจ ที่เธอนึกถึงกัน
ในวันที่จิตใจเธออ่อนไหว
เมื่อฝนตกหนัก ได้ผ่านพ้นไป
เธอยืนอยู่ใต้พระจันทร์สุกสว่าง
บอกกล่าวความอ้างว้าง
ไม่อยากให้เธอเศร้า
ฟ้า ฝน เดือน ดาว และฉัน
จะขอปลอบประโลมเธอ

ขอให้วันพรุ่งนี้ เป็นวันที่มีแดด เพราะเธอเคยบอกว่า วันดีดีของเธอคือวันที่มีแดด

ด้วยมิตรภาพ
ตะวันฉาย

30 มีนาคม 2552

ปล่อยเวลาเดินไปช้าๆ ที่กาดกองต้า...

นคร ลำปาง ... ไปลำปางคราวนี้ สนุกกาย สบายดี เดินเล่นก็เพลิดเพลิน ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่กาดกองต้าเลยเก็บภาพมาให้ดูกัน


บรรยากาศเมืองเก่า ย่านกาดกองต้า



อาคาร หม่องหง่วยสิ่น อาคารเก่าแก่แบบขนมปังขิง มีลายฉลุไม้ทั่วทั้งอาคาร สวยมากๆ


อาคาร หม่องหง่วยสิ่น จากปากกาสู่แผ่นกระดาษ


ไข่ป่าว คล้ายๆไข่เจียว แต่แห้งและหอม หากินได้ที่กาดกองต้า


กินอาหารเหนือกันดีกว่า



กินอิ่มแล้วก็เดินเล่นริมสะพาน กำลังจัดงาน ขัวหลวงรัษฎา ครบรอบ 92 ปี พอดี


เดินจนเหนื่อย เลยนั่งพักริมทาง


เป็นการเดินทางที่ จิตใจได้พบอะไรที่แปลกใหม่ดี ได้พูดคุยกับคนที่นั่นหลายคน ได้พูดคุยกับผู้ร่วมทาง และได้พูดคุยกับตัวเอง
ช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน และไม่เบื่อ...

24 มีนาคม 2552

หน้าต่างบานนั้น


มองฟ้าข้างนอก จะเป็นอย่างไร
นั่งหงอยอยู่ริมหน้าต่างเหงา

ดูภาพนี้แล้วอดคิดถึง 1 ปีที่ผ่านมาไม่ได้
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน

ช่องหน้าต่างนั้น น่าจะยังคงเหมือนเดิม
แต่คนที่เคยนั่งมองมันอยู่ตรงนั้น

ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

23 มีนาคม 2552

เพราะ commonsense ของเรามันเป็นความคิดคนละชุดกัน

ในพื้นที่บางพื้นที่ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ commonsense ของคนเราช่างไม่เท่ากัน และมันเป็นความคิดคนละชุดกันอย่างสิ้นเชิง

ขยันมาก ---- เว่อร์ ประหลาด
ชอบอ่านหนังสือ ---- จริงจังเกินไปไหม
เข้าห้องสมุด ---- จะขยันไปไหน เครียดจัง
มาตรงเวลา ---- ก็รอไป
มาสาย ---- ก็เป็นเรื่องปกตินี่
ทำงานเสร็จตามที่กำหนด ---- อย่าทำเร็วได้ไหม คนอื่นเขายังไม่เสร็จกัน
ทำงานเสร็จช้ากว่ากำหนด ---- เป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่
และอื่นๆอีกมากมาย

มันกำลังเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้
มันเกิดอะไรขึ้นกับมาตรฐานที่มันควรจะเป็น

และเมื่ออยู่ในที่แบบนี้ มั่นก็บั่นทอนเราเหมือนกัน...เหนื่อยจัง

11 มีนาคม 2552

นิทานที่เจอกันในมวลอากาศ

สายสัมพันธ์ของเรา ลอยอยู่ในมวลอากาศ
ฉันรู้จักเธอผ่าน เสียง ผ่านตัวอักษร
เราเคยพบกัน แต่เธออาจจะไม่รู้
แต่ฉันเห็นนะ ว่าเราสบตากัน เธอจะจำฉันได้ไหม
น่าตื่นเต้นเสมอ เมื่อได้เจอเธอโดยบังเอิญครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉันมักจะคาดเดา ว่าเธอกำลังจะไปไหนนะ
และมักจะคิดไปเองว่ารู้นะ ว่าเธอกำลังจะไปไหน
แปลกดีไหมเล่า
จะเข้าไปทักเธอ ก็ไม่กล้า
กลัวว่าจะไม่ใช่เธอ ที่ฉันรู้จักผ่านเสียง และตัวอักษร
เพราะฉันจำหน้าเธอได้เพียงเลือนลาง ผ่านมวลอากาศ
แต่เมื่อเจอเธอทีไร ฉันว่าเธอต้องใช่คนที่ฉันคิดไว้แน่ๆ
บางทีเราก็ใกล้ แต่บางทีเราก็ไกล
เคลื่อนตัวไปมา ในมวลอากาศ ที่ล่องลอย

10 มีนาคม 2552

ชีวิต มันเปราะบาง

เมื่ออยู่กับความเปราะบางของชีวิต

เราอดคิดถึงเรื่องความตายไม่ได้

ในชีวิตนี้จะต้องเจอมัน เข้าใกล้มันสักกี่ครั้ง

ทั้งคนที่เรารัก และตัวของเราเอง

มืออุ่นที่เหี่ยวแห้งตามกาลเวลา

จับแน่นสั่นไปมา

สั่นสะเทือนถึงอีกมือ และอีกใจ

เวลาอายุขัย หรือกำลังจะหมดไป

ราวกับเดินอยู่บนเส้นด้าย

พร้อมจะปลิดปลิวไปตามสายลม

3 มีนาคม 2552

หายไป

หายตัวไป ในหลุมของกาลเวลา
หายตัวไป แม้ยืนอยู่ไม่ไกลจากสายตา
หายตัวไป ในขณะที่ทุกอย่างยังคงเดินหน้า
หายไป หายไป หายไป
ฉันค่อยๆหายไป
ราวกับไม่เคยมีเรามาก่อนบนโลกใบนี้...

19 กุมภาพันธ์ 2552

หนี...มาตัดอ้อย (กันดีกว่า)

หลังๆ หนังที่หยิบมาดู จะเป็นหนังญี่ปุ่นแนวประมาณว่า หลบหนีจากความทุกข์ จากเรื่องร้ายๆ จากปมในใจ มายังที่แห่งใหม่ ให้ผู้คนแปลกหน้าที่ได้พบ ให้สภาวะแวดล้อมใหม่ๆ ได้สั่งสอน หรือทำให้เข้าใจ ตั้งหลักพักใจ เพื่อกลับไปเผชิญหน้าโลกใบเก่าได้ดีกว่าเดิม ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกดูหนังแนวนี้หรอกนะ เพียงแต่หน้าหนังมันพาไปทุกทีเลย และหนังญี่ปุ่นแนวนี้มักจะมีรูปแบบความสัมพันธ์ของตัวละครที่ประหลาดๆ แต่พอมาผสมกัันมันก็อบอุ่นน่ารักดี ผู้คนดูมีวิธีจัดการกับความทุกข์ ความโศกเศร้าต่างๆกันออกไป อย่างในเรื่องนี้ Necessity of deep breathing ต่างคนต่างมา เพื่อ "ตัดอ้อย" ซึ่งแน่ล่ะว่าตัวละครแต่ละตัว ไม่ได้มาเพราะอยากตัดอ้อยหรอก แต่มาที่ไร่อ้อยแห่งนี้ เพราะต่างกำลังหนีอะไรบางอย่างต่างหาก การตัดอ้อยมากมายที่ต้องทำให้เสร็จภายในกำหนด บวกกับเรื่องราวโน่นนี่ที่ค่อยๆเกิดขึ้น ทำให้ตัวละครตั้งใจที่จะตัดอ้อย และพยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้ สำหรับเรา การได้ทำอะไรบางอย่างอย่างมีสติ มีสมาธิ จดจ่อ และมีความตั้งใจ เป็นการทำให้ตัวเองรู้สึกดีได้โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน สูดหายใจเข้า และสูดหายใจออก และทำซะกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...

The Necessity of Deep Breathing
Movie by Tetsuo Shinohara

18 กุมภาพันธ์ 2552

Love is a kind of art...High Art

Love is a kind of art.
You are my high art,
in the mood of love,
very complicated and very intense...

High Art : Movie by Lisa Cholodenko
PS. หยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดู เพราะมีคนแนะนำให้ฟัง OST ซึ่งOST ของหนังเรื่องนี้ หลอนดีจริงๆ เหมือนล่องลอยอยู่ในห้องที่มีแสงไฟสีแดงวูบวาบตลอดเวลา (เราฟัง OST ก่อนได้ดูหนังน่ะ) แต่sound ก็เข้ากับหนังมากๆแม้ว่าสีของหนังจะหม่น ไม่ได้ฉูดฉาดอย่างที่เราจินตนาการจากเพลง แต่ทั้งหนังทั้งเพลงก็emotional มากๆเลยล่ะ
ลองดู ลองดู

13 กุมภาพันธ์ 2552

snowflake (my second lesson)


"เพราะไม่เคยได้พบกัน
เธอจึงเป็นเพียงจินตนาการ
เยือกเย็น บางเบา งดงาม
เธอเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า?"

12 กุมภาพันธ์ 2552

หาก บังเอิญ...

คิดว่าอย่างไร กับความบังเอิญ?
การที่เราได้พบใครบางคนโดยมิได้นัดหมาย หลายต่อหลายครั้ง
เป็นเรื่องพิเศษ หรือนี่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ
เราอาจเคยเดินผ่าน พบเจอใครบางคนซ้ำๆ ที่เราไม่รู้จักหลายครั้งหลายคราว
เพราะว่าไม่รู้จักกัน เลยไม่ได้นึกถึง ไม่รู้ถึงการมีอยู่ ไม่รู้ว่าความบังเอิญนั้นเกิดขึ้น
แต่เพราะว่ารู้จักกัน มันเลยมีความหมายมากขึ้น ความบังเอิญจึงเกิดขึ้น อย่างนั้นหรือเปล่า
แล้วทำไมต้องเป็นคนนี้ หลายๆครั้ง แล้วทำไมคนนั้นถึงไม่เคยเจอะเจอ
มันเกิดขึ้นง่ายดาย หรือยากเย็น

ความบังเอิญ เป็นแค่ความน่าจะเป็น ที่เกิดขึ้นได้
หรือ ความบังเอิญ เชื่อมโยงเกี่ยวกับโชคชะตา และช่วงเวลา
พิเศษ หรือ แสนธรรมดา

ไม่รู้เหมือนกัน...
เรายังคงชอบความบังเอิญอยู่เสมอ
มันทำให้กราฟชีวิตในบางวันกระตุก ขึ้นบ้าง ลงบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง
จากเรื่องราวที่เราคิดว่า ช่างบังเอิญเสียจริง
มันเป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง
แม้ว่าบางครั้งจะเป็นแค่ความบังเอิญที่ผ่านมา แล้วก็แค่ผ่านไป... ก็ตาม

10 กุมภาพันธ์ 2552

เด็กน้อย เบ่งบาน



ดวงตากลมโตใสแจ๋ว
เบิกกว้าง พร้อมรอยยิ้ม
ข้างในตา เต็มไปด้วยประกาย
รับรู้ได้ ว่ากำลังตื่นเต้นดีใจ
เพียงแค่ได้เห็น "ทิงกะเบล" ปลิวมา
เด็กน้อย ช่างสดใส
กินอิ่ม นอนหลับ เล่นสนุก
ชีวิตช่างเบิกบาน

ดวงตาแบบนั้น ของเรา
หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ปล. เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูป ประกายตาของน้องฟ้ามาให้ดู เห็นแล้ว ยิ้มเลยล่ะ
และทิงกะเบลของน้องฟ้า ก็คือไอ้เกสรดอกไม้อย่างในรูปนี่แหละ
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม

8 กุมภาพันธ์ 2552

ร้องไห้ กับเรื่องเดิมๆ ทุกที

พยายามจะอยู่คนเดียว พยายามไม่สนใจ
พยายามไม่เป็นอะไร ทำตัวเองให้แข็งแรง
แต่ความรู้สึก...ก็ยัง ยังเหมือนเดิม
ต่อให้ทุกอย่าง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป...

ทำไมต้องเสียน้ำตา อย่างง่ายดายให้กับเรื่องเดิมๆ
รู้สึก...ไม่เข้าใจตัวเอง...ซักที...
บางทีไม่รู้ทำไม ต้องเป็นคนที่อ่อนไหวทุกที
ร้องไห้....กับเรื่องเดิมๆ อย่างนี้

พยายามดูแลตัวเอง พยายามหลุดพ้นไป
พยายามจะทำยังไง ใจมันยังไม่แข็งพอ
กับความรู้สึก...ที่ยัง ยังเหมือนเดิม
ต่อให้ทุกอย่าง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป....

ทำไมต้องเสียน้ำตา อย่างง่ายดายให้กับเรื่องเดิมๆ
รู้สึก...ไม่เข้าใจตัวเอง...ซักที...
บางทีไม่รู้ทำไม ต้องเป็นคนที่อ่อนไหวทุกที
ร้องไห้....กับเรื่องเดิมๆ อย่างนี้

ร้องไห้ง่ายๆกับเรื่องเดิมๆ
***ปาล์มมี

6 กุมภาพันธ์ 2552

ช่างมันเถอะ ความคิด

ฉันเหนื่อย
บางอย่างก็ ช่างมันเหอะ
อย่าไปเร่งรัดอะไรตัวเองมากมายนักเลย
ยังไม่ได้ ก็คือยังไม่ได้
ยอมรับมัน และก็ทำต่อไป
เหนื่อยใจ ที่ต้องแบกมันไว้ตลอดเวลา
ปล่อยๆ มันไปบ้าง วางๆมันลงบ้าง
พักใจ พักสมอง พักต่อมไม่พอใจ
ช่างมัน ฉันจะไม่สนใจมันแล้ว

ทั้งหมดนี้เป็นการตะโกนบอกตัวเอง
มันก้องสะท้อนไปมาอยู่ในใจ
กลัวแสนกลัว ว่าพอเสียงสะท้อนเงียบไป
มันจะกลับมาจู่โจมใจเราอีกครั้ง

4 กุมภาพันธ์ 2552

คิดอะไรไม่ออก

คิดอะไรไม่ออก
สมองตีบตัน
คิดอะไรไม่ออก
เรื่องรอบๆตัวฉัน
คิดอะไรไม่ออก
ทุกอย่างปนเปกัน
ผ่านมา แล้ว ผ่านไป
คิดแล้ว เจ็บปวด จมหาย
คิดแล้ว ไม่นิ่ง ทุรนทุราย
หวังว่าพรุ่งนี้คงจะหาย
นิ่งลงได้ทั้งกายและใจ

31 มกราคม 2552

Seagull Restaurant... คนทุกข์มีอยู่ทั่วโลก



ผู้คนที่มีความทุกข์ มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก และที่นี่ก็เช่นกัน ร้านอาหารนกนางนวลเล็กๆในฟินแลนด์
ที่ที่คนทุกข์เดินทางข้ามโลกมารวมตัวกันอย่างเงียบๆด้วยความบังเอิญ ต่างเรื่องราว ต่างความหลัง
การจัดการ และอยู่กับความทุกข์นั้นมีหลากหลายวิธี และผู้คนในร้านนี้ใช้มิตรภาพ และความอบอุ่นของอาหารที่ทำด้วยความตั้งใจ เยียวยารักษาดูแลกันและกัน เราว่ามันเป็นหนังที่เหงาแต่น่ารักและอบอุ่นมากๆ

Kamome Shokudo หรือ Seagull Reataurant by Naoko Ogigami

27 มกราคม 2552

ใจดีกับตัวเองบ้าง

ในช่วงเวลาที่อ่อนแอและอ่อนไหว เราก็สามารถผ่านพ้นมันไป ด้วยกำลังใจ และการอยู่ด้วยกันตรงนี้ ของเพื่อนๆ และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ในวันที่ปัญหาเดิมๆของเรากลับมาทำร้าย เพื่อน ก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ยังคงเชื่อในตัวเรา ให้เราอบอุ่นหัวใจเสมอ ขอบคุณมากๆ นี่เป็นเรื่องที่เราคิดมาเสมอว่ามันเป็นความโชคดีของชีวิตเรา

เพื่อนคนหนึ่งของเราพูดว่า "ต้องใจดีกับตัวเองบ้าง"
ประโยคนี้มันช่วยเตือนใจเราได้มาก เรามักจะใจร้ายกับตัวเราเอง ทำร้ายตัวเราเอง ด้วยความคาดหวัง และการที่ไม่เคยพอใจอะไรเลยกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่เคยจะมองถึงสิ่งดีที่เราทำได้ ปัญหาของเราข้อนี้มักจะย้อนกลับมาทำร้ายเราเสมอๆในยามที่จิตใจถูกสั่นคลอน

เราบอกว่า "เพราะเธอเป็นเพื่อนที่ดี เรายิ่งต้องไม่ทำให้ผิดหวัง"
เธอบอกว่า "เพราะเป็นเพื่อน จึงไม่คาดหวัง"

เพื่อนๆก็ยังคงเชื่อมั่นใจตัวเราเสมอ เมื่อทุกคนเชื่อมั่นในตัวเรา เราก็จะพยายามเชื่อมั่นในตัวเอง
เรากำลังพยายามอยู่ และหวังว่าเราจะได้เรียนรู้ และจัดการกับมันได้ดีขึ้น

ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกัน ทั้งในวันที่ยิ้ม และมีน้ำตา
เราจะพยายาม ใจดีกับตัวเอง

19 มกราคม 2552

Balloon... U and ME



เราผูกกันไว้ ด้วยใจ และเชือกเส้นบางๆ
ลอยเคว้ง ลอยคว้าง แต่ยังอยู่ข้างๆกัน

16 มกราคม 2552

My first piece in Illus technique

My imagination, my inspiration
are growing and growing.
I will plant them with love and color...



Ps. Thank you Nui for your kindly teaching. And I found it's a great moment for me.

13 มกราคม 2552

ออกเดินทางท่องเที่ยวกันเถอะ

กำลังอ่านหนังสือ "GM Cafe จิบกาแฟ สนทนาถึงชีวิต ตัวตน และสังคมของคนหนุ่มสาว" มีอยู่วงสนทนาหนึ่งที่กล่าวถึงการท่องเที่ยว การเดินทาง ซึ่งในวงสนทนานั้นคุณนิ้วกลม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ

"การเดินทางกับการท่องเที่ยว จริงๆแล้วมันต่างกันตรงไหน ผมเขียนไว้ว่า
การเดินทางมันทำให้คนเราเติบโต ส่วนการท่องเที่ยวนั้น ทำให้เราเยาว์วัย คือผมรู้สึกว่า ถ้าเราไปเที่ยว เราจะได้พักผ่อน ผ่อนคลาย แล้วก็ทำให้เรายังเด็กอยู่ หมายถึงว่า เราได้ผ่่อนคลายชีวิต ส่วนการเดินทาง มันสมบุกสมบันมากกว่า มันก็เลยทำให้เราได้พัฒนาความคิดให้เติบโตขึ้น ทีนี้ทางที่ดี คนเราไม่ควรจะท่องเที่ยวอย่างเดียว ผมคิดว่าการท่องเที่ยวไม่ได้น่ารังเกียจ แต่ว่าการท่องเที่ยวอย่างเดียวนั้นน่าเสียดาย เพราะว่าคุณจะพลาดหลายอย่างที่มันไม่ใช่การท่องเที่ยวแต่มันคือการเดินทาง ฉะนั้น คนเรามันน่าจะทั้งเดินทางและก็ท่องเที่ยวไปด้วยกันครับ"

ระยะหลังๆมา เราก็มีทัศนคติ ความคิดและความชอบที่เปลี่ยนไป ต่อการท่องเที่ยวเดินทาง เช่นกัน
การเดินทางหลายๆครั้ง ก็มีค่าทางจิตใจมากกว่าการไปเที่ยว และระหว่างทางก็น่าตื่นใจไม่แพ้จุดหมายปลายทาง ที่บางที่ บางคนอาจเห็นว่าไม่เห็นมีอะไร แต่หลายครั้งเราก็กลับหลงรักความไม่มีอะไรของมัน

คิดแล้วก็อยากท่องเที่ยว อยากออกเดินทาง เก็บรักษาความเยาว์สดชื่นให้หัวใจ และก้าวเดินไปให้จิตใจได้เรียนรู้็และเติบโต

ปล. เห็นตอนนี้บางสถานที่ท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลง และบอบช้ำไปอย่างรวดเร็ว จากการแห่แหนกันเข้าไปของบรรดานักท่องเที่ยว กำลังคิดอยู่ ว่าจะทำยังไงดี ที่จะทำให้ที่ๆเราไปไม่กระทบกระเทือนไม่บอบช้ำ ใครมีข้อแนะนำอะไร ช่วยบอกด้วยนะคะ

8 มกราคม 2552

มีดอกไม้มาฝาก 2


Roses are red
Violets are blue
Here am I
But where are you?

ภาพนี้เป็นภาพดอกไม้ English Rose ที่วาดไว้ได้สักพักนึงแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเอามาลงให้ใครๆเห็น เป็นภาพที่เราวาดจากแบบดอกไม้ ในหนังสือ The Painted Garden by Mary Woodin ภาพดอกไม้เนี่ย วาดไม่ยาก แต่ลงสียากสุดๆ จะทำยังไงไม่ใช้สีช้ำ ไม่หนักไป ไม่เบาไป ยาก แต่ก็ท้าทาย และสนุกมากในแต่ละครั้งที่ได้ทำ และทุกครั้ง เราก็ยังพบเสมอว่า เรามันเป็นคนใจร้อนจริงๆนะเนี่ย...


7 มกราคม 2552

คำตอบล่องลอยอยู่ในสายลม

How many roads must a man walk down
Before you call him a man
Yes, 'n' how many seas must a white dove sail
Before she sleeps in the sand?
Yes, 'n' how many times must the cannon balls fly
Before they're forever banned?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many times must a man look up
Before he can see the sky?
Yes, 'n' how many ears must one man have
Before he can hear people cry?
Yes, 'n' how many deaths will it take till he knows
That too many people have died?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many years can a mountain exist
Before it's washed to the sea?
Yes, 'n' how many years can some people exist
Before they're allowed to be free?
Yes, 'n' how many times can a man turn his head,
Pretending he just doesn't see?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind
***Blowin' in the Wind : Bob Dylan

คำตอบล่องลองอยู่ในสายลม...
เมื่ออ่านหนังสือเรื่อง "ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางธรรมดาในห้าทวีป" ของคุณ โตมร ศุขปรีชา (อีกแล้ว) จบ หลายบทหลายตอนในหนังสือ ได้ทิ้งคำถามตกค้างไว้ในหัวสมองเราหลายอย่าง และอยู่ๆก็คิดถึงเพลงเพลงนี้ขึ้นมา The answer, my friend, is blowin' in the wind, the answer is blowin' in the wind.

4 มกราคม 2552

ญี่ปุ่น จากสายตาไกจิน (คนนอก)


เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยหนังสือดีดีเล่มนี้

เราชอบอ่านวรรณกรรมจากนักเขียนญี่ปุ่น เราชอบดูหนังญี่ปุ่น เราชอบฟังเพลงญี่ปุ่น เราชอบวัฒนธรรมที่แข็งแรงของญี่ปุ่น เราอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น เราชอบอะไรต่างๆนานาจากญี่ปุ่น ทำให้เราอยากเข้าใจความเป็นญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้ จะพาเราไปรู้จักญี่ปุ่น รู้จักข้างนอก (โอโมเตะ) รู้จักข้างใน(อุระ) ลองมองเข้าไปว่าทำไมอะไรๆ จากญี่ปุ่นถึงช่างน่าทึ่งไปเสียหมด

คุณโตมร เล่าเรื่องราวยากๆ ได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม ราวกับอ่านนิยาย (ที่กำลังตามหาอะไรบางอย่าง) ลึกลับซับซ้อน และระหว่างทาง ก็ทิ้งโน่นนี่ให้เราเก็บมาคิดได้ตลอดเวลา

ข้างนอกข้างในที่ทับซ้อนกันอยู่หลายต่อหลายชั้น ทำให้ประเทศนี้ งดงามและเจ็บปวดไปในเวลาเดียวกัน หลายอย่างทีเดียวที่ทำให้เรากลับมามองความเป็นข้างนอกข้างในของเราเอง ของสังคมของเราของประเทศของเรา ที่ที่เราอยู่ในเวลานี้ โอ้...มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ และเราก็รู้สึกนะ ว่า เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ที่ที่เราอยู่ มันดีขึ้น เราหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น