29 กรกฎาคม 2553

Where is the chapter in your life entitled?

The Chapter in your life entitled San Francisco
By : The Lucksmiths






เราชอบเพลงนี้มากเลย นอกจากดนตรีที่เพราะฟังสบายแล้ว เนื้อเพลง ยังพาเราไปสู่ความทรงจำต่างๆของตัวเองด้วย แม้เราจะไม่เคยไป San Francisco แต่ในชีวิตของเราแต่ละคนคงจะเคยมีบทหนึ่งของชีวิตที่ Entitled ให้กับอะไรสักอย่าง ที่ไหนสักแห่ง ใช่ไหม?

Is it April yet?
I forget sometimes how slowly summer passes
You disappeared into Departures
Only half a year ago
It seems like so much more, you know
I went a fortnight without so much as an email
Then a postcard scant of detail
In which you wished me all the best
From the non-specific north west

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco

Are you warm enough?
I remember how the fog comes off the water
And the days are ever shorter
And I worry you’ll be cold
Or have you found someone to hold?
I spent the summer with the curtains drawn against it
Counting all the nights you’ve wasted
Under unfamiliar stars

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco

Are you ever coming clean?
Or will I never know the meaning
Of the lines you scribbled out
So that I couldn’t read between?
Are you ever coming home?
Or should I learn to do without you?

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco


ครั้งหนึ่งที่บทหนึ่งของชีวิตเราเคยไปผูกพันกัน ฉันยังระลึกถึงมันอยู่บ่อยครั้ง
จากโปสการ์ดใบนั้นที่ปราศจากที่อยู่ของเธอ ตอนนี้ เธอคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ขอบคุณที่ส่งความระลึกถึงให้กัน
you... once the chapter in my life entilted.

28 กรกฎาคม 2553

Tracking to my life

ร่องรอย ของชีวิต
เหมือนเศษขนมปัง ที่บิไว้เป็นรอยทาง ตามที่ต่างๆ
หากจะมีใครลองปะติดปะต่อ
เดินตามเศษขนมปังเหล่านั้น
คงพบกับสิ่งต่างๆ
ที่หลอมรวมเป็นเค้าโครงร่างของชีวิต

25 กรกฎาคม 2553

ดึงรั้ง

ฉันกำลังดึงรั้งอะไรอยู่ฝ่ายเดียวหรือเปล่า
เพราะเรื่องดีดีของเรามีอยู่มากมาย
เลยไม่อยากปล่อยมันปลิวหาย
ไปกับสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง

มากกว่านี้ อาจไม่ดีเท่านี้
ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น
ยอมรับการเดินทางของวารวัน
แต่ยังอยากจะดึงดันถึงวันวาน

เมื่อสิ่งที่เคยมากมายต้องน้อยลง
เราก็คงต้องยอมรับมัน ...

22 กรกฎาคม 2553

หรือเราจะเข้ากันไม่ได้จริงๆ

ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

รู้สึกว่าถูกบีบคั้นในบทสนทนา เหมือนเค้าจะพูดแต่เรื่องที่เราไม่ชอบฟังเต็มไปหมด เป็นเรื่องที่เราโต้ตอบไม่ถูก เราเกลียดการประชดประชัน เราไม่ชอบเวลาเธอมาทำทีเล่นทีจริง พอเราตอบไปตรงบ้างอ้อมบ้างตามแบบของเรา ก็กลายเป็นเรา ที่ดูแย่ ไม่ช่วยเหลือ ไม่มีน้ำใจ

เธอคาดหวังอะไรกันแค่ไหนหรือ? ฉันทำได้แค่นี้แหละ
"สิ่งที่ควรจะต้องเป็น" ของเธอ คงต่างจาก "สิ่งที่ควรจะต้องเป็น" ของฉัน
ความคาดหวังของเราช่างต่างกันคนละโลก

หรือเราจะเข้ากันไม่ได้จริงๆ

21 กรกฎาคม 2553

ทำความเข้าใจ เพื่ออะไร?

เรามักจะตั้งคำถามกับตัวเองยามที่ต้องพยายามปรับตัวปรับใจ ทำความเข้าใจคนที่ต่างจากเรา
เมื่อรู้สึกว่าพยายามอยู่ข้างเดียว หรือบางเรื่องก็ยากที่จะเข้าใจ บางครั้งก็ทำให้เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ และเรียกร้องว่า ทำไมไม่เข้าใจฉันบ้างนะ
เมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามนี้ ก็จะมาปรากฎตัวต่อหน้าทันใดว่า "ทำความเข้าใจ เพื่ออะไร?"

เราเคยตอบคำถามนี้กับตัวเองว่า อย่างน้อยการได้พยายามคิดและเข้าใจน่าจะช่วยชะลอความรู้สึกเกลียดชัง ให้เราได้กลับมาทบทวน ซึ่งเป็นการชะลอการ"ตัดสิน"คนอื่นในแบบที่เราอยากให้เป็น

แต่ก็รู้สึกว่าคำตอบนี้บางครั้งก็ยังต้านความรู้สึกเหนื่อยกับการพยายามทำความเข้าใจไม่ไหว
หรือบางทีก็ยังคิดแย้งขึ้นมาอีกว่า เข้าใจแต่ยังไงก็ยอมรับไม่ได้ แล้วยังไงต่อล่ะ?

วันหนึ่งเราได้ถามคำถามนี้กับพี่คนหนึ่ง ว่าเราจะพยายามเข้าใจคนอื่น ไปเพื่ออะไร?
พี่แสนน่ารักผู้นี้ บอกเราว่า เพราะเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ หรือถ้าเปลี่ยนได้ ก็อาจจะยากกว่าการที่เราเป็นฝ่ายเปลี่ยน เปลี่ยนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนตัวเองไปกับเค้า เพราะเราก็ยังเป็นเราที่มีความคิดเป็นของเรา แต่อาจจะต้องเปลี่ยนมุมคิด เพื่อทำความเข้าใจ เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันได้ และอย่างน้อยๆ การพยายามเข้าใจ ก็จะยิ่งทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้นด้วย ว่าที่ทางของเราอยู่ตรงไหน เราจะเลือกทำอะไรหรือเลือกไม่ทำอะไร

ขอบคุณบทสนทนาจากพี่แสนน่ารักคนนี้ค่ะ เพราะมันช่วยเคลียบางอย่างในใจน้องได้มากทีเดียว
ขอให้มีกำลังใจกันต่อไปค่ะ

17 กรกฎาคม 2553

โบกมือลา เรื่องเดิมๆ

ฟ้าสีฟ้าจ้า กับความร้อนอบอ้าวในยามบ่าย
มารู้ตัวอีกครั้ง เธอก็เดินทางจากไปไกลแล้ว
ฉันเอ่ยคำลาสั้นๆ โบกมือลาเบาๆ กับความว่างเปล่า
เรื่องเดิมๆ ที่เคยเศร้า จากกันไปเสียที
คล้ายว่าโล่งใจ แต่ทว่าไม่แน่ใจ
คล้ายว่าจะเหงา ดังเหมือนเพื่อนเก่าจากไป
ลาจากไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ย้อนกลับมา
และในครั้งหน้า หากได้พบกันอีก
ฉันจะไม่ลืมขอบคุณเธอ ดั่งเช่นในครั้งนี้
ยิ้มผ่านความทรงจำที่เรามี
อย่างเช่นเพื่อนเก่าพบกัน :)

14 กรกฎาคม 2553

ในความเงียบงัน

ไม่ได้มาเขียน Blog นานเลยทีเดียว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆนอกจาก ความขี้เกียจและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทางใจที่จะเขียนอะไรที่ยาวๆไปกว่า status สั้นๆใน Facebook

ช่วงสองสามเดือนที่หายไป ในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกออนไลน์มีปรากฏการณ์ทางสังคมเกิดขึ้นมากมาย และในปรากฏการณ์เหล่านั้น มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไร้ที่ทาง และบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกว่าใจคนเราช่างน่ากลัว ทำให้นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่ได้เพิ่งอ่านจบไปไม่นานมานี้ นั่นคือ เรื่องสั้นที่ชื่อว่า "The Silence " ของ Haruki Murakami หรือที่แปลเป็นไทยโดยคุณ ดนัย คงสุวรรณ์ ว่า "เงียบงัน"

ฉันอ่านมันอย่างเงียบงันซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ

เป็นเรื่องอดีตของนักมวยคนหนึ่ง ซึ่งมองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวัยเรียน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสุดแสนจะธรรมดาสามัญของเด็กชายผู้สันโดษเงียบขรึมคนหนึ่ง วันนึงเกิดไปมีเรื่องกับคนประเภทหนึ่ง (ที่ฉันคิดว่าคนแบบนี้น่ากลัวเหลือเกิน) คือคนที่ภายนอกแล้วดูเป็นคนเข้ากับผู้คนได้ดี เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่มองออกได้อย่างเก่งกาจ แต่ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ต้องการให้ใครเหนือกว่าตนเอง และพร้อมที่จะรอคอยจังหวะเหมาะๆที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหนือกว่า ชีวิตวัยเรียนของนักมวยคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เพราะถูกใส่ร้าย ซึ่งมาพร้อมๆกับการลงทัณฑ์ทางสังคม เขาถูกคนอื่นมองในแง่ลบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่มีใครสักคนที่จะถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสายตาของคนเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่เขาต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาคือสู้กับความรู้สึกของตัวเองให้สามารถผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานแบบนี้ไปให้ได้

เมื่อมองย้อนกลับมา ในวันที่เขาผ่านมันมาได้ ตัวละครตัวนี้บอกกับเราว่า

"ที่ผมกลัวไม่ใช่คนอย่างอะโอะกิหรอกครับ คนอย่างอะโอะกินั่นที่ไหนก็มี ผมยอมแพ้คนประเภทนี้ไปแล้ว พอเห็นคนแบบนี้ ผมพยายามไม่ข้องเกี่ยวด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กลายเป็นคนประเภทที่เรียกว่ารู้หลบรู้หลีกนั่นแหละครับ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย คนแบบนี้ดูออกง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็พบว่า คนอย่างอะโอะกิก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะ พวกเขามีความสามารถที่หลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ รอให้โอกาสมาถึง มีความสามารถที่จะคว่าโอกาสนั้นมาใช้ประโยชน์อย่างเก่งกาจ และมีความสามารถที่จะจูงใจคนและควบคุมได้อย่างแยบยล นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ใครๆก็มีนะ แม้ผมจะเกลียดเรื่องพวกนี้เข้าใส้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสามารถ"
"ที่ผมกลัวจริงๆคือ คนที่เชื่อคำพูดของคนอย่างอะโอะกิทั้งอย่างนั้นโดยไม่พยายามพิจารณาอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ก็เต้นเร่าไปตามน้ำคำของคนที่ฝีปากดี แล้วรวมกันเคลื่อนไหวเป็นหมู่ คนพวกนี้ไม่หยุดคิดแม้เพียงน้อยว่า ตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เป็นคนพวกที่ไม่ฉุกใจคิดเลยว่าตัวเองกำลังทำร้ายใครบางคนอย่างไม่มีความหมาย อย่างร้ายกาจ คนเหล่านี้จะไม่รับผิดชอบต่อผลของการกระทำใดๆของตัวเองทั้งนั้น ที่ผมมกลัวจริงๆ คือ คนพวกนี้ ต่างหาก"
(หน้า 79-80)

ในปัจจุบันขณะที่ Social Sanction กำลังเข้มข้นและรุนแรง เรากำลังเต้นเร่า เหมือนอย่าง คนพวกนี้ อยู่หรือเปล่า?

หรือคำตอบจะเป็น...ความเงียบงัน

*** เรื่องสั้น "The Silence" ของ Haruki Murakami ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณดนัย คงสุวรรณ์ ซึ่งเรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" (Lexington Ghosts) โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่