แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Deep inside แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Deep inside แสดงบทความทั้งหมด
6 สิงหาคม 2556
อัมมูรักเธอน้อยลง
ราเฮลตัวชา เธอเสียใจที่หลุดปากพูดไป เธอไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมาจากไหน ไม่รู้ว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเธอ และมันได้แสดงตัวแล้วในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะถอยกลับ พวกเขายืนอยู่บนขั้นบันไดแดงเหมือนเสมียนราชการ ที่บางคนยืน บางคนนั่งขาสั่น อยู่ในสำนักงาน
'ราเฮล' อัมมูพูดกับเธอ 'ลูกรู้มั้ย ว่าลูกพูดอะไรไป'
นัยน์ตาตกใจกับผมน้ำพุ มองอัมมู
'ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว' อัมมูว่า 'แค่ตอบมา แค่นั้น'
'อะไรกันคะ' ราเฮลพูดเสียงเบาที่สุด
'รู้ตัวรึเปล่า ว่าได้ทำอะไรลงไป' อัมมูถามซ้ำ
นัยน์ตาตกใจกับผมน้ำพุ มองอัมมู
'ลูกรู้มั้ย ว่าเวลาลูกทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจน่ะมันเป็นอย่างไร' อัมมูว่า 'เวลาลูกทำให้คนอื่นเจ็บปวด เขาจะรักลูกน้อยลง นี่แหละคือผลของการไม่ระวังคำพูด มันจะทำให้คนเขารักลูกน้อยลง'
แมลงชีปะขาวตัวเย็นชืดกับกระจุกขนบนหลัง ค่อยๆเกาะกุมหัวใจของราเฮล ขาเย็นๆของมันเกาะลงที่ตรงไหน เธอขนลุกตรงนั้น รอยปูดหกรอยบนหัวใจไร้ความระมัดระวัง
อัมมูรักเธอน้อยลง
....................................................................
แมลงชีปะขาวในหัวใจราเฮลเริ่มกางปีกเลื่อมพราย ราเฮลหนาวไปถึงกระดูก
....................................................................
'อัมมูคะ' ราเฮลพูดกับแม่ 'หนูขอไถ่โทษ ด้วยการอดอาหารค่ำค่ะ'
เธอฉลาดพอที่จะต่อรองกับแม่ ยอมไม่กินอาหารค่ำ แลกกับขอให้แม่รักเหมือนเดิม
'ตามใจ' อัมมูตอบ 'แต่แม่ขอแนะนำให้กิน ถ้าอยากโตก็ต้องกิน เธอขอแบ่งไก่ของจักโกได้นี่'
'อาจจะได้หรืออาจจะไม่ได้' จักโกตอบ
'แล้วเรื่องการลงโทษล่ะคะ' ราเฮลถาม 'แม่ยังไม่ได้ลงโทษหนูเลยนี่คะ'
'บางทีการลงโทษก็เป็นไปของมันเอง' เบบี้โกจัมมา อธิบาย ราวกำลังอธิบายเลขคณิตที่ราเฮลไม่เข้าใจ
บางทีการลงโทษก็เป็นไปของมันเอง มาเป็นชุดเหมือนห้องนอนกับตู้ติดผนัง ซึ่งอีกไม่นานพวกเขาจะได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการลงโทษ โทษที่หนักเบาต่างๆกัน บางครั้งโทษหนักเหมือนตู้ติดผนังใหญ่ในห้องนอน คุณอาจต้องอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิต เดินวนอยู่บนชั้นและลิ้นชักที่มืดมิด
....................................................................
ราเฮลยืนอย่างเปล่าเปลี่ยว มองพวกเขาเดินเงียบๆไปบนโถงทางเดินของโรงแรม พวกเขาจากไปอย่างเงียบเชียบราวเงาร่างของผี แต่ผีนี้มีความสำคัญ ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง เด็กชายกับรองเท้าสีทรายปลายแหลม พรมแดงดูดเสียงก้าวเดินของพวกเขา
ราเฮลยืนเศร้าอยู่ที่ประตูห้อง
ใจเธอเศร้า ที่โซฟี โมลเดินทางมา เศร้าที่แม่รักเธอน้อยลง เศร้ากับทุกสิ่งที่ ชายขายน้ำส้มน้ำมะนาว ทำกับเอสธาที่โรงภาพยนตร์อภิลาสทัลกีส์
ลมพัดบาดดวงตาแห้งผากปวดรวดร้าว
บางส่วนจาก เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (The God of Small Things)
โดย อรุณธตี รอย
แปลโดย สดใส
Sad and Beautiful อ่านแล้วรูสึกเศร้าไปกับเด็กน้อยราเฮล สะเทือนไปกับความกลัวที่จะถูกรักน้อยลง น้อยลง น้อยลง และสุดท้ายมันจะหายไป....
3 มกราคม 2556
ปีใหม่ๆ
สิ้นสุดลงแล้วและเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง
ปีที่ผ่านมาก็ถือเป็นปีที่ชีวิตยังไม่ลงตัว มีเรื่องให้กลุ่มใจ เครียด กังวล อยู่มากมาย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่า การเลือกในปีที่ผ่านๆมา นำมาซึ่งเส้นทางของวันนี้ แม้จะยังไม่เข้ารูปเข้ารอยนัก แต่เราก็พอใจกับการเลือกและเส้นทางในตอนนี้
ทบทวน
อย่างน้อยๆ เราก็ดีใจ ที่เรียนจบแล้ว เวลาที่คิดว่ายากลำบากกับการต่อสู่กับวินัยของตนเอง ในขั้นหนึ่งได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำเท่าที่จะทำได้ และดีใจที่ตัวเองไม่ปล่อยให้สิ่งที่ควรจะทำให้เสร็จต้องค้างคา
ดีใจที่ปีที่ผ่านมาได้วาดรูปมากขึ้น ได้เข้าใกล้สิ่งที่คิดว่าอยากทำมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งวาดเล่น วาดเพื่อการงาน ทั้งสองอย่างแม้จะต่างกันตรงความกดดัน แต่ทั้งสองอย่างก็ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขและสงบ เราจะพยายามกับสิ่งนี้ต่อไป อยากจะมีเวลาฝึกวาด ฝึกคิด ฝึกเทคนิคอุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับเราสิ่งนี้น่าตื่นเต้นจริงๆ
ดีใจและรู้สึกขอบคุณเสมอกับมิตรภาพของเพื่อนที่ร่วมทาง ช่วยเหลือดูแลกันมาตลอด เราอยากจะประคับประคองมันไว้ และดูแลความสัมพันธ์เหล่านี้ให้ดีที่สุด
รู้สึกดีที่มีเวลาดูแลคนในครอบครัวมากขึ้น ครอบครัวเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เราก็อยู่กันตามประสา ในช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องผ่านอะไรร้ายๆมาด้วยกันเยอะแยะ วันนี้สุขดีกันในระดับหนึ่ง เราหวังไว้ในใจว่าจะดูแลเขาให้มากกว่านี้และดีกว่านี้
คิดทบทวนดูก็มีเรื่องดีๆมากมาย :)
ปีใหม่นี้ ตั้งใจไว้ว่า จะเป็นปีที่เราจะหมั่นฝึกตน หลายๆอย่างเราเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่น ต้นทุนน้อยกว่าคนอื่น ทำให้ยิ่งต้องฝึก ต้องเผชิญหน้า เพื่อทำให้ตัวเองเก่งกาจขึ้น ก้าวข้ามความกลัวหรืออะไรก็ตามที่กั้นเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต ทางเดียวที่จะทะลุเรื่องเหล่านี้ไปได้คือต้องฝึกเผชิญหน้ากับมันให้บ่อย แม้จะกลัวความผิดหวัง แต่เราคิดว่าสิ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งอาจคุ้มค่ากับการที่จะเสียใจผิดหวังที่เกิดขึ้นรายทาง หรืออาจจะไม่ผิดหวังก็ได้นะ ใครจะรู้
เราจะกล้าหาญมากขึ้น
เราจะซื่อสัตย์ ซื่อตรงกับตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น
เราจะใจดีกับตัวเอง
เราจะวางใจในความสัมพันธ์รอบตัวเรา
เราจะเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
เราจะดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้น
เราจะเรียนรู้จากผู้คนและสิ่งรอบตัวให้มากขึ้น
เราจะวาดรูปให้บ่อยขึ้น
เราจะหัด Photoshop และ Illustration
เราจะรักให้ดีที่สุด
นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้อย่างหมดจดงดงามในปีนี้ บางอย่างอาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงตนเองมากกว่าเวลาแค่ 1 ปี แต่เราก็อยากจะทำให้ได้ เพราะเชื่ออยู่ลึกๆว่า ชีวิตเราจะสมดุลมากขึ้นหากเราปรับเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ได้พอเหมาะกับชีวิต
แด่ปีใหม่ๆ ที่ดูเหมือนจะยาวนาน แต่เดี๋ยวเดียวก็จะผ่านไป
18 พฤศจิกายน 2555
ยอมรับ และ ทบทวน
เมื่อทั้งหมดที่ผ่านมา เดินทางมาถึงจุดนี้
สิ่งที่จะต้องทำให้ได้คือ ยอมรับ
และคิดทบทวนอย่างจริงจังว่าตัวเองจะจัดการกับมันอย่างไร
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกต่อไป
3 พฤศจิกายน 2555
สุดสัปดาห์ในบ้านว่างๆ
สุดสัปดาห์ที่อากาศกำลังดี ลมหนาวกำลังจะมา
บรรยากาศของวันหยุด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
อยู่บ้านคนเดียว และรู้สึกโปรดปรานในความโล่งว่างของบ้าน
ดื่มชาไปพร้อมๆกับดื่มด่ำกับเพลงที่รู้สึกลึกซึ้ง
เลือกให้เหมาะเจาะ กับงานที่เหลือค้างให้สะสาง
ชาและบทเพลงราวกับเป็นส่วนหนึ่งของงานชิ้นนี้
รู้สึกดีกับการมีสมาธิดำดิ่งลงไปในสิ่งที่กำลังทำ
คิดออกทีละนิด และค่อยๆทำมันออกมาทีละน้อย
ความมั่นใจปรากฎในความไม่มั่นใจ
ในช่วงเวลาแบบนี้ มักจะคิดขึ้นมาเสมอ ว่านี่หรือเปล่านะ ชีวิตในแบบที่อยากมี
22 ตุลาคม 2555
ขี่รถเล่น
เธอชวนฉันไปขี่รถเล่นตอนเช้า เธอขับฉันซ้อน
แดดอ่อนๆ ลมพัดสบายๆ ขับผ่านรั้วบ้านใครต่อใคร
ผ่านร้านค้า ผ่านโรงเรียน ผ่านศาลเจ้า
เข้าซอยเล็กๆ ออกถนนใหญ่ๆ
เกาะหลัง กำเสื้อเธอเอาไว้
คุยกันไปดูทางกันไป
มาถึงตลาด แวะกินของเช้า
ฉันสั่งกาแฟ เธอกินขนมครก
หิ้วถุงของกินโน่นนี่กลับบ้าน
สายแล้ว แดดเริ่มแรง
เธอขับฝ่าแดด ฉันก้มหลบแดด
เป็นความสนุกอุ่นๆของเช้าวันใหม่ที่เราได้ไปเที่ยวด้วยกัน
เธอชวนฉันไปขี่รถเล่นตอนค่ำ เธอขับฉันซ้อน เช่นเคย
ฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็น ขับผ่านรั้วบ้านใครต่อใคร
ผ่านโรงงาน ผ่านสนามกีฬา ผ่านสถานีตำรวจ
ออกถนนใหญ่ๆ เข้าซอยเล็กๆ
เกาะไหล่ กำเสื้อเธอเอาไว้
คุยกันไปดูทางกันไป
มาถึงตลาดโต้รุ่ง แวะกินข้าวเย็น
ฉันสั่งข้าว เธอสั่งก๋วยเตี๋ยว
หิ้วถุงขนมโน่นนี่กลับบ้าน
ดึกแล้ว พระจันทร์เสี้ยวส่อง
เธอขับโต้ลม ฉันนั่งชมจันทร์
เป็นความสนุกอุ่นเย็นของค่ำวันนี้ที่เราได้ไปเที่ยวด้วยกัน
30 กันยายน 2555
อินกับเธอ
อินกับเรื่องของเธอ อินมากเสียจนรู้สึกเศร้ากับสิ่งที่คิดไปเอง
เธออาจไม่ได้โดดเดี่ยวขนาดนั้น อาจจะกำลังเป็นสุขอย่างที่เธอแสดงออก
เธอกล่าวชื่นชมฉัน ซึ่งฉันปลื้มมากเพราะมันออกมาจากปากของเธอ
ฉันถามเธอหลายอย่าง และเล่าอะไรให้เธอฟังหลายอย่าง
บางทีก็รู้สึกเป็นเด็กน้อยยามอยู่กับเธอ
เธออ่านฉันขาด แม้เราจะได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้ง
หลายประโยคของเธอยังคงตกค้างในใจ
เหมือนเธอช่วยเขี่ยภาพลวงตา ที่บดบังความจริงเอาไว้
คำพูดที่ช่างเข้าอกเข้าใจ แต่ก็ตรงไปตรงมาแบบไม่เอาใจฉันจนเกินจริง
จากคำพูดของเธอฉันออกจะเห็นความหวังในโลกที่เธอชอบเหน็บแนมว่าไร้หวัง
ดีใจที่ได้พบกัน ขอบคุณที่รับฉันเป็นมิตรของเธอ
ไม่รู้ทำไมถึงอินเรื่องของเธอนัก
แต่กับเธอที่ฉันอ่านไม่ออก ฉันรู้เพียงว่าฉันอยากให้เธอเป็นสุข
22 กันยายน 2555
ค่ำคืนที่ดี
ฉันชอบวันที่ได้ทำอะไรในเวลาที่ผิดแผกไปจากทุกวัน
มันทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด
ในวันที่น่ายินดี งานเลี้ยงเลิกรา เราต่างแยกย้าย
ค่ำคืนฝนโปรย แต่เรา 3 คนรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล
เราใช้เวลาด้วยกันที่แจ๊สบาร์ ที่เธออยากแนะนำเราให้รู้จัก
เป็นที่ที่เธอชอบมานั่งฟังเพลงคนเดียว แต่วันนี้ไม่อยากโดดเดี่ยวเช่นนั้น
ไม่มีคนในร้าน ในวันฝนตกเช่นนี้จึงมีแต่เรา
เธอเลือกเครื่องดื่มให้ฉัน สีเขียวใส มีลูกเชอรี่สีแดงจมอยู่ก้นแก้ว
ใต้แสงเทียนและเสียงดนตรี เราต่างรู้สึกดี
บทสนทนาพาเราไปเรื่อยๆ เธอเล่าชีวิตวัยเด็กในช่วงที่เธอไม่ชอบ
ทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ฉันไม่ชอบเหมือนกัน
แต่เราต่างผ่านมันมาแล้ว และมีช่วงเวลาที่ชอบร่วมกันตรงนี้ ตอนนั้นคงไม่สำคัญอีกแล้ว
นักดนตรีเก็บของกลับบ้าน เป็นสัญญาณว่าเราคงต้องกลับเช่นกัน
ดึกมากแล้ว และฝนยังคงตกอยู่ เรา3คนเดินกลับบ้านของเธอที่อยู่ไม่ไกล
เหมือนฉันได้เดินเล่นในเวลาที่แปลกออกไป
และอยู่ๆก็มีบทเพลงบรรเลงขึ้นในใจ
เป็นอีกค่ำคืนที่สุขพอดีๆ และอยากจะเก็บไว้ในความทรงจำ
15 กันยายน 2555
ก่อนเธอจะเดินทาง
เธอเดินกางร่มออกมารับฉันในวันฝนตก
พื้นเฉอะแฉะ แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะใต้คันร่ม ทำให้ลืมความน่ารำคาญใจ
ปลายทางของวันที่ยาวนาน การได้อาบน้ำอุ่นๆ ทำให้รู้สึกสบายเหลือเกิน
น้ำหยดติ๋งๆ จากขอบหน้าต่างและปลายผมของฉัน
เธอปอกส้มและแอปเปิ้ลไว้ให้กิน กลิ่นหอมๆของมันลอยผสมกันอยู่ในห้อง
เธออวดอูคูเลเล่ตัวใหม่ มันน่ารักมาก
ฉันลองเอามาดีดเล่น มันเสียงเพราะกว่าตัวเดิมที่เธอเคยมี
ฉันจับไม่ถนัดเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าตัวมันเล็กจัง
เธอบอกให้ฉันลองเล่นเพลงที่คอร์ดง่ายๆ
ลองดู ไม่นานก็เป็นเพลง
เธอนั่งดูทีวี ฉันนั่งดีดอูคูเลเล่ มีเสียงคุยกันของเราแทรกเป็นระยะ
เล่นไปเล่นมาเริ่มคล่อง เธอหยิบกล้องมาถ่ายวิดีโอตอนฉันเล่นและร้องเพลง
เป็นคลิปที่ไม่จบเพลง เพราะแบตหมดไปเสียก่อน
ฉันง่วงหลับไป ขณะที่เธอยังนั่งดูทีวีไปเรื่อยๆ
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้เธอจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้ว เราคงไม่ได้เจอกันอีกนาน
ฉันต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ
ในคลิปวีดิโอที่เธอถ่ายฉันเล่นอูคูเลเล่ มีเสียงของเธอพูดและหัวเราะเป็นระยะ
ฉันนั่งเปิดดูมัน วนซ้ำไปซ้ำมา
5 สิงหาคม 2555
เปียโน
คำพูดบางคำในอดีต มันติดอยู่ในความทรงจำของเรานานกว่าที่เราคิด
ตอนเด็กๆ ลูกพี่ลูกน้องของฉันเคยถามคำถามฉันเล่นๆว่า ถ้ามีคนใจดีซื้อให้ ระหว่างรถยนต์ กับ เปียโน เธอจะเลือกอะไร?
คำตอบของฉันในตอนนั้น ตอบออกไปอย่างที่ใจคิดเลยว่า ฉันอยากได้เปียโนมากกว่า นำมาซึ่งสายตาแปลกๆที่เธอมองกลับมา ที่จริงคำถามนั้นมันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ทำไมยังจำได้แม่นก็ไม่รู้ และลึกๆแล้วฉันก็รู้สึกเชื่อมโยงบางอย่างกับเปียโนอย่างบอกไม่ถูก
แต่ฉันเล่นเปียโนไม่เป็นหรอกนะ มันเป็นเครื่องดนตรีที่แพงเกินไปสำหรับฉัน ทั้งราคาค่าเรียนไปจนถึงตัวเปียโน
แต่แค่ชื่อของมันก็เพราะแล้วล่ะ
"เปียโน" รู้สึกว่ามันเป็นคำที่เพราะและอ่อนหวานดี
ฉันเคยลองเล่นกดๆเปียโนครั้งแรกตอนมัธยมต้น เพื่อนสนิทของฉันในตอนนั้นเธอเรียนเปียโนและชอบการเล่นเปียโนมากๆ ครั้งหนึ่งในวันเสาร์ที่เรามีเรียนพิเศษกันที่สยาม หลังเลิกเรียนเธอพาฉันไปที่โรงเรียนสอนเปียโนของเธอในที่อยู่ในห้าง และแอบพาฉันเข้าไปในห้องซ้อมเปียโน เธอเล่นเปียโนให้ฉันฟัง ภายในห้องซ้อมเล็กๆห้องนั้น ฉันตื่นเต้นอย่างมากกับเสียงใสก้องกังวานที่ได้ยิน
เธอเล่นเพลงที่คุ้นหูกันดี แต่สารภาพว่าจนบัดนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเพลงนั้นชื่อเพลงอะไร แต่ยังจำได้นะ ทำนองของมันดัง ตึง ตึง ตึงตึ๊งตึ๊งตึ๊ง ตึงตึงตึงตึงตึงตึงตึ๊งตึ๊งตึ๊ง ตึงตื้อดึง
เธอให้ฉันนั่งลงข้างๆ ค่อยๆกดไล่คีย์ตามที่เธอบอก
ฉันพบว่าแป้นเปียโนมันหนักกว่าที่คิด กดไปบางทีเสียงก็เบา บางทีเสียงก็ดัง เธอสอนฉันกดแป้นเปียโน และบอกว่า ให้ปลายนิ้วของเราสัมผัสแป้นเปียโน เหมือนกับแมวกำลังเล่นขนนก
เราค่อยๆเล่นไปด้วยกัน ฉันชอบช่วงเวลานั้นมากและยังจำมันได้ดี
ฉันไปบ้านเพื่อนสนิทคนนี้อีกหลายครั้ง ที่บ้านเธอมีเปียโนสีดำตั้งอยู่ในห้องรับแขก ทุกครั้งที่ฉันไป ฉันต้องขอเธอเล่นเปียโนตัวนี้ กดๆจิ้มๆได้ไม่มีเบื่อ และเธอก็ชอบที่จะสอนฉันเล่น ตอนนั้นเราสองคนชอบหนังเรื่อง Little Women มากๆและในหนังมีฉากที่ Beth น้องสาวคนที่3ในเรื่องเล่นเพลงในวัน Christmas เพลง Deck the Halls ฉันเลยขอให้เธอสอนฉันเล่นเพลงนี้ และยังมีเพลงน่ารักๆอย่าง Grandfather's clock ที่เธอสอนฉันเล่นไปพร้อมกับร้องเนื้อภาษาไทย
"แปลกใจใหญ่น่าดู นั่นคือนาฬิกาคุณปู่ เสียงของมันติ๊กต๊อกดังฟังน่าดู..."
ฉันชอบเพลงนี่้มาก ทำนองมันน่ารักสุดๆ
ที่บ้านฉันมีคีร์บอร์ดเล็กๆอยู่อันนึง หลังจากที่เธอสอนฉัน ฉันกลับมาซ้อมเล่น 2 เพลงนี้ตลอด แต่ก็เล่นงูๆปลาๆเท่าที่ได้ แค่นี้ก็สนุกแล้ว ฉันลองเล่นเพลงที่ฉันร้องได้ เล่นตามดนตรีที่ได้ยิน ฉันทำได้ดีทีเดียว แต่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเล่นเป็น
อยู่ๆความทรงจำเกี่ยวกับการเล่นเปียโนและเครื่องดนตรีที่คล้ายเปียโนของฉันก็หยุดอยู่แค่นั้น ในช่วงชีวิตต่อมา ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะไปแตะต้องมันอีก จะมีก็เพียงการได้ฟังเสียงเปียโนในบทเพลงต่างๆ
ฉันคิดถึงการได้เล่นเปียโนเป็นบางคราว และยังชอบเสียงของมันอยู่เสมอ เสียงเปียโนในตอนเริ่มต้นของเพลงบางเพลงยังคงกระทบใจ
หลังจากที่ได้ไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีฉากคนสองคนเล่นเปียโนด้วยกัน มันทำให้ระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับเปียโน คำถามของลูกพี่ลูกน้องและคิดถึงเพื่อนของฉันคนนั้น
พิมพ์มาถึงตรงนี้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ ที่เมื่อลองไล่เรียงดูแล้ว ฉันจดจำรายละเอียดได้มากเกินกว่าจะรู้ตัว ในขณะที่เรื่องราวเหล่านั้นเคลื่อนไกลเราไปมากเหลือเกิน
18 มิถุนายน 2555
ทำความรู้จักความสุขของตอนนี้
ภาพจาก เด็กหญิงมะม่วง หนังสือภาพโปสการ์ด โดย วิศุทธิ์ พรนิมิตร
"ไม่รู้จักความสุขของตอนนี้ จะตอนไหนก็ไม่มีความสุข"
If you never learn to be happy now, you will never be.
เพื่อนคนหนึ่งขอฉันแชร์ภาพและข้อความนี้ไว้ใน Facebook อ่านแล้วมันรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้กำลังเป็นแบบนั้นอยู่ ต้องขอบคุณที่ช่วยเตือนสติกลับมาใช้เวลากับปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ฉันมีความทุกข์เหลือเกินในความว่างเปล่าของเส้นทางข้างหน้าของตัวเอง พอตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งเข้ามาแทนที่ความว่างเปล่านั้น แทนที่ฉันจะดีใจ หรือเตรียมตัวเตรียมใจอย่างสงบสุขกับสิ่งที่จะพบเจอ ฉันกลับพบว่าตัวเองกังวลกับข้างหน้ามากเกินไปจนลืมที่จะมีความสุขกับภาวะที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยคิดว่าหากไม่ว่างเปล่าจะต้องมีความสุขแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าฉันเองที่ไม่รู้จักความสุขของตอนนี้ และนอนไม่หลับไปเสียแล้วกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายวันข้างหน้า
ดึงตัวเองกลับมา ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และชื่นชมยินดีกับตัวเองบ้าง เพราะฉันเองก็อยากที่จะมีความสุข
29 พฤษภาคม 2555
จดหมายสีชมพู
หรือวันนี้จะเป็นวันแห่งการโหยหาอดีต
นั่งรื้อค้นโปสการ์ดจดหมายที่เก็บไว้ออกมานั่งดูนั่งอ่าน
อ่านมันซ้ำอีกครั้ง ก็ต้องแปลกใจกับจดหมายบางฉบับที่อ่านแล้วรู้สึกราวกับว่าได้อ่านมันเป็นครั้งแรก
ฉันหลงลืมมันไปได้อย่างไรนะ
จากซองและกระดาษพื้นเรียบสีชมพูอ่อน
เธอส่งข้อความสั้นๆ ที่ฉันอ่านแล้วหลุดขำ มาพร้อมกับกลอนบทหนึ่ง
Get Drunk / Charles Baudelaire
Always be drunk.
That's it !
The great imperative !
In order not to feel
Time's horrid fardel
bruise your shoulders,
grinding you into the earth,
Get drunk and stay that way.
On what ?
On wine, poetry, virtue, whatever.
But get drunk.
And if you sometimes happen to wake up
on the porches of a palace,
in a green grass of a ditch,
in the dismal loneliness of your own room,
your drunkeness gone or disappearing,
ask the wind,
the wave,
the star,
the bird,
the clock,
ask everything that flees,
everything that groans
or rolls,
or sings,
everything that speaks,
ask what time it is ;
and the wind,
the wave,
the star,
the bird,
the clock
will answer you :
"Time to get drunk !
Don't be martyred slaves of time,
Get drunk !
Stay drunk !
On wine, virtue, poetry, whatever !"
9 พฤษภาคม 2555
แรงสั่นสะเทือนอันบางเบา
แรงสั่นสะเทือนอันน้อยนิด แม้บางเบาจนแทบไม่รู้สึก
แต่มันก็ยังคงเป็นแรงสั่นสะเทือนมิใช่หรือ
และฉันก็ยังคงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอันแสนบางเบานั้น
บางครั้งก็ยังคงอยากรู้ ว่าเธอจะรู้สึกสั่นไหวในสิ่งเดียวกันบ้างหรือไม่
จนตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้รู้ และมันอาจไม่สำคัญอะไร
รู้สึก รับรู้ และก็ปล่อยมันไป คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันทำได้ในวันนี้
27 เมษายน 2555
วันศุกร์ที่เศร้าเหลือเกิน
ในวันที่รู้สึกผิดหวังกับตัวเอง ข้อผิดพลาดที่ผ่านไปแล้วมักจะมาตามหลอกหลอนให้เจ็บปวดใจอยู่เสมอ
หลอกหลอนไม่หยุดไม่หย่อน และฉันเองก็ปล่อยมันไปไม่ได้เสียที ยังเจ็บปวดซ้ำซาก
ฉันรู้ว่าไม่ควรทำร้ายตัวเองด้วยสิ่งที่มันผ่านเลยไปแล้ว ควรปล่อยและลุกขึ้นยืนเดินต่อ แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้ ฉันทำมันไม่ได้
ฉันทำอะไรได้บ้าง มีสิ่งไหนที่ทำได้ดี ในเวลาแบบนี้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจอะไรเลย
จะไปทางไหน ทำอะไร ก็ดูเหมือนจะยังดีไม่พอไปเสียทุกอย่าง
มันเศร้าเหลือเกินเวลาที่ไม่มั่นใจอะไรเลย
ฉันจะกอบกู้มันคืนกลับมาได้อย่างไร
17 เมษายน 2555
พยายาม
เวลาและเรื่องราว เหมือนอยู่ในนาฬิกาทราย ที่มองเห็นว่ามันกำลังค่อยๆเคลื่อนหาย และสิ้นสุด
ฉันรับรู้ได้ลึกๆ แม้ไม่มีอะไรสลักสำคัญเกิดขึ้น
ฉันสัมผัสมันได้ในความเงียบ
จะสามารถสร้างเวลาและเรื่องราวใหม่ๆได้ไหม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
ฉันคิดว่าเราต่างพยายามนะ
ในความพยายาม มันดีงามแต่บางครั้งก็เจ็บปวดที่จะต้องพยายาม
แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะพยายามนั่นแหละ
พยายามไปพร้อมๆกับปรับใจยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนไป
มันคงจะต้องเป็นอย่างนั้น
13 เมษายน 2555
นอนบ้านเพื่อน
เย็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวสุดๆ เราเดินปาดเหงื่อตัวเปียกแฉะ คุยกันไปเรื่อยๆตลอดทาง
คุยเรื่องเธอ เรื่องฉัน มิตรภาพ ความรัก
เราแวะกินอาหารจีนข้างทาง อาหารอร่อยดี แต่บทสนทนาน่าจดจำกว่ารสอาหาร
เธอบอกว่าเธอกำลังดีขึ้น จากความเศร้าที่เธอเคยคิดไม่ออกว่ามันจะจากเธอไปได้อย่างไร
แต่ตอนนี้มันกำลังเดินจากเธอไปอย่างเงียบเชียบ ฉันยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น
ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นของฉันให้เธอฟัง เราต่างบ่นโน่นนี่ตามประสา
ยังไม่ดึกนักหรอก แต่เรายังอยากคุยกันต่อ และฉันเองก็ยังไม่อยากกลับบ้าน
เราเลยซื้อเบียร์กระป๋อง ไปดื่มกันต่อที่ห้องของเธอ
ดื่มเบียร์ กินมาม่าต้มยำ นั่งดูซีรี่ย์ ทำเอานึกถึงสมัยยังเป็นเด็กปี 1 อยู่หอ
เหนื่อยและง่วง แต่บทสนทนาก่อนนอนก็เริ่มขึ้น ฉันหรือเธอที่เป็นคนเริ่มพูดก่อนกันแน่นะ
ฉันโล่งและสบายใจมากพอที่จะพูดออกไปทั้งหมดที่รู้สึก ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน
เราพูดคุยกันถึงพื้นที่ของเรากับความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างของเรา
ฉันและเธอเห็นเหมือนกันว่า กับแต่ละคนอาจมากเรื่องนี้ น้อยเรื่องนั้น
แต่ในระยะเหล่านั้นมันก็มีความพิเศษต่างกัน และล้วนมีสิ่งดีงาม
เธอบอกว่า กับฉันแล้ว เวลาอยู่ด้วยกันมันสงบดีๆ จะพูดเยอะก็ได้ จะอยู่เงียบๆกันเฉยๆก็ได้
มันก็มีความสุขดี เป็นส่วนหนึ่งที่เธอชอบเวลาที่เราได้ใช้เวลาด้วยกัน
นั่นทำให้ฉันนอนอมยิ้มในความมืด
เราคุยกันจนผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้
ตื่นเช้ามาลองนั่งนึกดู เวลาไปนอนบ้านเพื่อน ฉันชอบช่วงเวลาแบบนี้แหละที่เรานอนคุยกันจนหลับไป
ฉันเริ่มต้นวันใหม่ พร้อมกับความสุขจากบทสนทนาของเมื่อวาน
19 มีนาคม 2555
เคย...
เห็นสิ่งที่ตัวเองเคยชอบมากๆอยู่ตรงหน้า
แต่ที่มันน่าเศร้าก็คือ
ในวันนี้ไม่อาจจะกลับไปชอบมันได้อย่างหมดจิตหมดใจเช่นเดิมอีกแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเพียงฝุ่นผงสำหรับโลกกว้างใหญ่ใบนี้
แต่สำหรับตัวฉันเอง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
ฝุ่นผงนั้นเคยเข้าตา ซ้ำร้ายเข้ามาอยู่ในใจ จนต้องเสียน้ำตา และเจ็บปวดใจกับมัน
ไม่ได้นึกเสียดายสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่รู้สึกเศร้าใจที่กลับไปชอบสิ่งที่เคยชอบไม่ได้อีกแล้ว และก็ยังจดจำความรู้สึกชอบนั้นได้เป็นอย่างดี
จนตอนนี้ ก็ยังจัดการไม่ถูกเมื่อเห็นมันกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ได้แต่มองและถอนหายใจออกมาดังๆเท่านั้น
แต่ที่มันน่าเศร้าก็คือ
ในวันนี้ไม่อาจจะกลับไปชอบมันได้อย่างหมดจิตหมดใจเช่นเดิมอีกแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเพียงฝุ่นผงสำหรับโลกกว้างใหญ่ใบนี้
แต่สำหรับตัวฉันเอง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
ฝุ่นผงนั้นเคยเข้าตา ซ้ำร้ายเข้ามาอยู่ในใจ จนต้องเสียน้ำตา และเจ็บปวดใจกับมัน
ไม่ได้นึกเสียดายสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่รู้สึกเศร้าใจที่กลับไปชอบสิ่งที่เคยชอบไม่ได้อีกแล้ว และก็ยังจดจำความรู้สึกชอบนั้นได้เป็นอย่างดี
จนตอนนี้ ก็ยังจัดการไม่ถูกเมื่อเห็นมันกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ได้แต่มองและถอนหายใจออกมาดังๆเท่านั้น
14 ธันวาคม 2554
สวนสีชมพู
สวนสีชมพู
ฟ้าเปลี่ยนสี สวนก็เปลี่ยนสี
พระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสีผสมกันกลายเป็นสีชมพูแกมส้มแกมม่วง
มองด้วยตาเปล่าสีมันสวยมากจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้
ภาพถ่ายที่ได้ไม่เหมือนอย่างตาเห็น แต่ก็พอจะช่วยหยุดช่วงเวลาสวยๆนั้นไว้ได้
แม้ว่าอาจจะเป็นความสวยงามบนความโรยรา
จากสวนสีเขียวๆ หลังถูกน้ำท่วมมาหลายเดือน ต้นไม้เขียวๆก็ค่อยๆตายลง
ใบค่อยๆร่วงหล่น ลำต้นค่อยๆโค่นล้ม และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล แทบทั้งต้น
พอต้องแสงอาทิตย์สีชมพูยามเย็น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้นไม้เหล่านี้กำลังจากไป
ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไป จะมีสวนสีเขียวอีกไหม
ไม่รู้ว่าเจ้าของสวนจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
อาจเป็นเพียงฉากข้างหน้าต่างที่เปลี่ยนไป
ฉันยังคงนั่งมองความเปลี่ยนแปลง อยู่ข้างหน้าต่างบานนี้
ใบค่อยๆร่วงหล่น ลำต้นค่อยๆโค่นล้ม และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล แทบทั้งต้น
พอต้องแสงอาทิตย์สีชมพูยามเย็น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้นไม้เหล่านี้กำลังจากไป
ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไป จะมีสวนสีเขียวอีกไหม
ไม่รู้ว่าเจ้าของสวนจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
อาจเป็นเพียงฉากข้างหน้าต่างที่เปลี่ยนไป
ฉันยังคงนั่งมองความเปลี่ยนแปลง อยู่ข้างหน้าต่างบานนี้
10 ธันวาคม 2554
ภาวะหมุนเวียน
ฉันเพียงแค่เศร้าเกินกว่าที่คิดไว้
อ่อนไหวไปหน่อยในสิ่งที่ไม่น่าจะอ่อนไหว
ฉันห้ามความเศร้าในใจไม่ได้
รู้สึกแย่ที่รู้สึกแย่
จะเป็นไรไหมที่ฉันจะรู้สึกแบบนี้
อยากจะมีใครมากอดแล้วบอกว่า
ฉันจะเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นไร
และไม่ว่าอย่างไร ก็จะรักฉัน
จะต้องการการยอมรับอะไรกันมากมายนะ
ทั้งที่รู้ว่ามีความรักอยู่ตรงนั้น
เพียงแต่ในยามนี้ มีหมอกควันมาขวางกั้น
ทำให้ฉันมองไม่เห็นและรู้สึกเจ็บปวด
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ใช่ความผิดใคร
ต้องเป็นฉันผู้เดียว ที่ต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเอง
30 ตุลาคม 2554
สวนสีเขียว
สวนสีเขียว
ท้องร่องสวนของบ้านที่อยู่รั้วติดกัน วิวข้างหน้าต่างจากโต๊ะทำงาน
ฉันนั่งมองสีเขียวของมันเพื่อพักสายตาอยู่เสมอ
ฉันนั่งมองสีเขียวของมันเพื่อพักสายตาอยู่เสมอ
ช่วงเดือนนี้ น้ำท่วมขังสวนสีเขียวตั้งแต่ต้นเดือน
น้ำเพิ่มขึ้นทีละนิดๆทุกวัน
เข้าสู่ปลายเดือนตุลาคม ตอนนี้มองไม่เห็นท้องร่องสวนแล้ว
ฉันนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง
ฉันนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง
เมื่อมองดูมันอยู่ทุกวัน ปริมาณน้ำ และ แสงสีในแต่ละวันทำให้สวนสีเขียวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ฉันชอบรูปทรงเส้นแสง จากเงาที่ทาบลงบนจอกแหนสีเขียว
เป็นสิ่งเล็กๆที่ฉันมองว่ามันสวยดี แต่น้ำไม่ท่วมย่อมดีกว่าอยู่แล้วทั้งสำหรับต้นไม้และเจ้าของสวน
ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ รอวันน้ำลด ภาวนาให้ทุกสิ่งดีขึ้นโดยไว
ฉังยังคงอยากเห็นความสวยงามในสภาวะปกติธรรมดาของมัน : )
4 ตุลาคม 2554
รู้สึกผิด
เบื่อที่จะต้องรู้สึกผิดตลอดเวลา
แต่ฉันก็ยังทำมันไม่เสร็จเสียทีนี่นา
ก็คงต้องก้มหน้าก้มตา อยู่กับความรู้สึกผิดต่อไป
ทั้งในวันที่เขียนอะไรไม่ได้เลย และวันที่เขียนได้บ้างเล็กน้อย
ช่วงนี้คงมีวันแค่ 2 แบบนี้เท่านั้นสินะ
จนกว่ามันจะลุล่วงผ่านไป...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)