31 ธันวาคม 2553

คืนที่คิดถึง

ไม่ได้ร้องไห้เพราะสุขล้น
ไม่ได้ร้องไห้เพราะโศกเศร้า
แต่ร้องไห้ เพราะความคิดถึง

ไม่ได้คิดถึงเธอมานานมากแล้ว
นานจนหลายสิ่งหลายอย่างพร่าเลือน
แต่เมื่อมีบางอย่างสะกิดใจ
สิ่งที่ยังไม่คลี่คลายก็ย้อนกลับมา
ถ้าวันนั้น ไม่เป็นอย่างนั้น
วันนี้จะเป็นอย่างไร

ไม่ได้ต้องการอะไร แค่คืนนี้รู้สึก คิดถึง มาก...

24 ตุลาคม 2553

Drunk !

Kazami : "I feel like I'm drunk even though I haven't had any alchohol. Doesn't my voice sound strange to you?"

Sui : "You're drunk on your memories."

N.P. , Banana Yoshimoto

18 ตุลาคม 2553

New Start !!!

วันนี้ เริ่มงานใหม่ เป็นวันแรก
ยังต้องปรับตัว ปรับใจ อีกมาก
ต่อแต่นี้ต้องตื่นเช้า และหัดเขียนงานตอนกลางคืน
ต้องแบ่งเวลา ต้องมีวินัย และทำให้เรื่องเรียนสำเร็จไปด้วยให้ได้

งานที่ทำ เป็นงานที่เลือก ใช่ไม่ใช่ เราก็ไม่รู้
แต่ที่รู้ คือจะทำสิ่งที่เลือกให้ดีที่สุด
และสัญญากับตัวเองว่า จะยังคงทำ "สิ่งที่ชอบ" ไปพร้อมๆกับ "สิ่งที่เลือก"
จะชอบโน่น ชอบนี่ และจะทำไปเรื่อยๆ

บ่นนิดๆหน่อยๆ กับชีวิตประจำวันที่ต้องเปลี่ยน
่คงคิดถึง เสียงนกร้องยามสายข้างหน้าต่างที่บ้านน่าดู

12 ตุลาคม 2553

คิดเล่นๆ ถึงกล่องจดหมาย

คิดเล่นๆ ถึงยุคสมัยที่เราใช้ facebook กันอย่างหนักหน่วง
หากอยู่ๆวันหนึ่งเราตายไป หรือคนรอบข้างเราจากไป
facebook ของเรา หรือของเขาเหล่านั้น
อาจจะเป็นเหมือนกล่องจดหมาย
ที่ให้ใครๆฝากข้อความถึงเรา หรือเราฝากข้อความถึงเขา ในวันที่เราหรือเขาไม่อยู่แล้ว
แม้เรา หรือเขา จะได้อ่านหรือไม่ก็ตาม
และอาจจะเป็นอีกที่หนึ่ง ที่ทำให้เห็นร่องรอยของชีวิตที่ผ่านมา

ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้เนอะ ไม่รู้สิ คิดเล่นๆเท่านั้น

4 ตุลาคม 2553

9 end 2 outs เพื่อน กับ ความรัก

เว้นให้ตัวเองพัก จริงจังสัก 3 วัน เลยนอนดูซีรี่ทั้งวี่ทั้งวันอย่างที่ใจอยากมานาน เพื่อนเราแนะนำซีรี่หลายเรื่อง แต่ท้ายสุดก็เลือกดูเรื่อง 9 end 2 outs ก่อนเรื่องอื่นๆ เพราะเป็นเรื่อง ความรักระหว่างเพื่อนที่สนิทกันมากๆ พล็อตแบบนี้ดูกี่ทีก็โดน :) ตามแบบฉบับประโยคสุดคลาสสิคจาก When Harry met Sally ว่า Men and Women Can Never Be Friends.


เมื่อรู้สึก "รัก" เรายังจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า
แล้วมีทางออกใหม่ๆบ้างไหมสำหรับความสัมพันธ์แบบนี้
แค่คิดก็รู้ว่ามันยากมากๆๆๆ

9 end 2 outs เปรียบเปรย timingของความรัก ความสัมพันธ์ในแต่ละช่วงเวลา กับเกมส์การเล่นเบสบอล

ตัวละคร เพื่อนรัก ทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง ทำให้เรารู้สึกได้จริงๆว่า สิ่งที่ยากเย็นเหนือสิ่งอื่นใด คือการถนอมรักษาสายสัมพันธ์มิตรภาพ 30 ปีที่รู้จักกันมา ในยามที่ความรู้สึกในใจเปลี่ยนไปมากกว่าเพื่อน
หากโชคดีที่รู้สึกเหมือนกัน ก็ต้องก้าวข้ามความกลัว เพราะดูเหมือนการเป็นเพื่อนจะยั่งยืนยาวนานกว่าการเป็นคนรัก
หากโชคไม่ดี ที่รู้สึกไม่เท่ากัน ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บงำ หรือทำอย่างไรที่จะรักษาความเป็นเพื่อนไว้ให้นานที่สุด
และมันยากที่จะปฏิเสธใจของเรา
เมื่อรู้สึกไปแล้ว ก็ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป

ฉากที่เราชอบมากของซีรี่เรื่องนี้ คือ ฉากที่ นางเอกกับพระเอก นั่งคุยกัน กินเบียร์กัน ในพื้นที่ส่้วนตัวของทั้งสองคน (ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดในเรื่องนี้) สำหรับเราเวลาเหล่านั้นช่างเป็นเวลาที่ดี ปลอดภัย สบายใจสุดๆ ไม่ต้องมีเกราะกำแพงอะไรเลย และอบอุ่นใจที่มีคนที่เข้าใจเราดีคอยอยู่ข้างๆเสมอ

ดูแล้วก็อยากจะมีช่วงเวลาอบอุ่นปลอดภัยอย่างฮงนานนี นางเอกของเรื่องบ้าง :P



ไม่ใช่แค่เรื่อง ความรัก ของสองคนนี้เท่านั้นนะที่ทำให้เราชอบซีรี่เรื่องนี้ แต่ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนในกลุ่มของนางเอกพระเอก (2คนนี้อยู่กลุ่มเดียวกัน) ที่ผูกพัน และยังคบกันมายาวนานเป็นสิบปี ผ่านความทุกข์ ความสุข มาด้วยกันมากมาย แม้ว่าแต่ละคนจะออกเดินทางตามเส้นทางของตัวเอง แต่ก็ยังคงมีอะไรบางอย่างยึดโยงกันไว้อย่างแนบแน่น
และต่างสนับสนุน ความฝันของกันและกัน ทั้งยามสุขยามเศร้าในการเดินทางค้นหาความหมายของชีวิต
ดูแล้วก็ได้แรงบันดาลใจดีๆกลับมาด้วย
บทละครทำให้เรารักตัวละครทุกตัว และเฝ้าเอาใจช่วยให้ตัวละครเหล่านั้นพบความสุข

มีเรื่องบังเอิญที่โผล่มาในหนังแล้วเรากรี้ดสุดๆ คือ มีบทอยู่ตอนหนึ่งที่ตัวละครพูดถึงหนังเรื่อง Love Letter ของชุนจิ อิวาอิ และกล่าวถึงฉากที่นางเอกตะโกนถามภูเขา ซึ่งเป็นตอนที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ (ตอนดูฉากนี้น้ำตาไหลทุกที) ยังไม่หมด ยังมีอยู่อีกฉากนึงที่พูดถึงหนังสือเรื่อง Music of Chance ของนักเขียนที่เราชอบอย่าง Paul Auster ด้วย (เล่มนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย) ดูไปแอบตื่นเต้นไป ที่มีอะไรที่เราชอบโผล่มาเยอะแยะ


ฉันดูจบรวด 16 ตอน ภายใน 3 วัน ถึงขั้นเก็บเอาไปฝันต่อ


เฮ้ออ... ดูแล้วก็คิดถึงเพื่อนจังเลย :)

2 ตุลาคม 2553

เหนือการควบคุม

ฝนตก ฟ้าร้อง
ฉันควบคุมอะไรไม่ได้
ทั้งจิตใจตัวเอง และอย่างอื่นอีกมากมาย
หงุดหงิด งุ่นง่าน โมโห
ทั้งตัวเอง และคนอื่นอีกมากมาย

มีสิ่งที่ต้องทำและอยากทำรออยู่เยอะแยะ
แต่ฉันทำอะไรต่อไม่ได้เลย

ได้แต่นั่งเฉยๆ ถอดถอยตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน
รำพึงรำพัน อย่างโดดเดี่ยว กับวันที่เหนือการควบคุม

25 สิงหาคม 2553

ดูหนังแล้วนั่งร้องไห้

เพิ่งร้องไห้ จากการดูหนัง
ที่จริงก็ใช่ว่าดูหนังแล้วไม่เคยจะร้องไห้
แต่เพิ่งมาทบทวนความรู้สึกตัวเอง ต่อการร้องไห้เมื่อยามดูหนัง
ในทางหนึ่ง คือเรารู้สึกร่วมไปกับมัน
ซึ่งไม่ว่าจะสุข เศร้า สลด น่ากลัว มันทำให้เรารู้สึกได้
และส่วนใหญ่ ก็จะชอบหนังที่ทำให้เราร้องไห้ได้ มากเป็นพิเศษ
บางเรื่องก็โยงชัดเจนกับตัวเอง บางเรื่องก็ไม่ แต่ก็ยังร้อง
เมื่อมาลองคิดดู เราก็ชอบตัวเองเวลามีความรู้สึกละมั้ง
ทั้งเวลาอ่อนไหว เวลายิ้มสุข เวลาเศร้าใจ หนังช่วยขับให้มันชัดเจนดี
และอีกเหตุผล อาจเป็นเพราะ เราชอบร้องไห้
การดูหนังแล้วร้องไห้ เลยรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

17 สิงหาคม 2553

ขีดเส้นใต้เอาไว้...

เคยไหม ที่ยืมหนังสือใครมาอ่าน แล้วเจอการขีดเส้นใต้ ในนั้น?

บางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะอาจดูรกสกปรก รบกวนสายตาในการอ่าน บ้างก็บอกว่าเหมือนการชี้นำ

แต่เราชอบล่ะ :)

เวลาเจอ ประโยคใดขีดเส้นใต้ จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ต่อมจินตนาการทำงานทันที
เหมือนกับ แอบไปรู้มาว่า ใครอินกับสิ่งไหน ให้คุณค่ากับสิ่งใด ซาบซึ้งใจจากข้อความใด
ราวกับได้รู้ความลับ เหมือนได้แอบอ่าน ไดอารี่ ของคนอื่น :P

ถ้าเป็นหนังสือเรียน การขีดเส้นใต้ของคุณช่วยฉันได้มาก ว่าส่วนไหนสำคัญ
และยิ่งถ้าเป็น นวนิยาย หรือ วรรณกรรม การขีดเส้นใต้ของคุณทำให้ฉันได้อ่านนิยายส่วนตัวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

พอนึกขึ้นได้แบบนี้ ก็จำไม่ได้เหมือนกันแฮะ ว่าตัวเองเคยไปขีดเส้นใต้ข้อความไหน ในหนังสือเล่มใด บ้างหรือเปล่า

15 สิงหาคม 2553

The answer is blowin' in the wind

เมื่อตอนที่อ่านหนังสือของคุณโตมรเรื่อง "ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางในห้าทวีป" เราเคยเอามาเขียนใน Blog ว่า อ่านจบแล้วนึกถึงเพลง Blowin' in the Wind ของ Bob Dylan ขึ้นมาจับใจ

และแล้วก็มาเจอบทเพลงนี้อีกครั้งกับ หนังสือเล่มใหม่ของคุณโตมร "เดินทางระหว่างหู"




ในเล่มนี้ คุณโตมรเขียนถึง เสียงของบทเพลงนี้ ได้อย่างงดงามมาก

"ต้องเดินทางกี่สิบประเทศ ย่ำถนนกี่สาย ให้คนตกตายอีกกี่คน มนุษย์บางคนถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวทำ ร่างที่ตนเป็น และทรัพย์ที่ตนสั่งสมนั้น ทั้งมวลล้วนเป็นแค่วิหารที่ว่างเปล่า แล้วคำตอบก็อยู่ในสายลม"
(น.68)

ที่จริงในเล่มนี้ มีคำสวยๆ ประโยคงามๆ ความหมายแหลมคม ที่ทำให้เราตื่นเต้น อยู่ในทุกบท
แต่แค่เราตื่นเต้นนิดหน่อย ที่เพลงโปรด เพลงนี้มาปรากฎในการเดินทางระหว่างสรรพเสียงของนักเขียนคนโปรดอีกครั้ง
เรารู้จักเพลงนี้ครั้งแรก เมื่อ Robin Wright Penn ร้องเพลงนี้และดีดกีต้าร์ตัวใหญ่อำพรางร่างกายที่เปลือยเปล่า ในหนังเรื่อง Forest Gump และชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้อ่านเนื้อเพลง

เมื่อในใจฉันเกิดคำถามโลกแตก หลายครั้งที่เพลงนี้จะแว่วเข้ามาในหัว
ยังคงพร่ำถาม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คำถามเหล่านี้จะหายไป

The answer my friend is blowin' in the wind
The answer is blowin' in the wind

29 กรกฎาคม 2553

Where is the chapter in your life entitled?

The Chapter in your life entitled San Francisco
By : The Lucksmiths






เราชอบเพลงนี้มากเลย นอกจากดนตรีที่เพราะฟังสบายแล้ว เนื้อเพลง ยังพาเราไปสู่ความทรงจำต่างๆของตัวเองด้วย แม้เราจะไม่เคยไป San Francisco แต่ในชีวิตของเราแต่ละคนคงจะเคยมีบทหนึ่งของชีวิตที่ Entitled ให้กับอะไรสักอย่าง ที่ไหนสักแห่ง ใช่ไหม?

Is it April yet?
I forget sometimes how slowly summer passes
You disappeared into Departures
Only half a year ago
It seems like so much more, you know
I went a fortnight without so much as an email
Then a postcard scant of detail
In which you wished me all the best
From the non-specific north west

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco

Are you warm enough?
I remember how the fog comes off the water
And the days are ever shorter
And I worry you’ll be cold
Or have you found someone to hold?
I spent the summer with the curtains drawn against it
Counting all the nights you’ve wasted
Under unfamiliar stars

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco

Are you ever coming clean?
Or will I never know the meaning
Of the lines you scribbled out
So that I couldn’t read between?
Are you ever coming home?
Or should I learn to do without you?

Should it one day come to pass
That you sit down to your memoirs
Where will this go?
The chapter in your life entitled San Francisco


ครั้งหนึ่งที่บทหนึ่งของชีวิตเราเคยไปผูกพันกัน ฉันยังระลึกถึงมันอยู่บ่อยครั้ง
จากโปสการ์ดใบนั้นที่ปราศจากที่อยู่ของเธอ ตอนนี้ เธอคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ขอบคุณที่ส่งความระลึกถึงให้กัน
you... once the chapter in my life entilted.

28 กรกฎาคม 2553

Tracking to my life

ร่องรอย ของชีวิต
เหมือนเศษขนมปัง ที่บิไว้เป็นรอยทาง ตามที่ต่างๆ
หากจะมีใครลองปะติดปะต่อ
เดินตามเศษขนมปังเหล่านั้น
คงพบกับสิ่งต่างๆ
ที่หลอมรวมเป็นเค้าโครงร่างของชีวิต

25 กรกฎาคม 2553

ดึงรั้ง

ฉันกำลังดึงรั้งอะไรอยู่ฝ่ายเดียวหรือเปล่า
เพราะเรื่องดีดีของเรามีอยู่มากมาย
เลยไม่อยากปล่อยมันปลิวหาย
ไปกับสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง

มากกว่านี้ อาจไม่ดีเท่านี้
ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น
ยอมรับการเดินทางของวารวัน
แต่ยังอยากจะดึงดันถึงวันวาน

เมื่อสิ่งที่เคยมากมายต้องน้อยลง
เราก็คงต้องยอมรับมัน ...

22 กรกฎาคม 2553

หรือเราจะเข้ากันไม่ได้จริงๆ

ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

รู้สึกว่าถูกบีบคั้นในบทสนทนา เหมือนเค้าจะพูดแต่เรื่องที่เราไม่ชอบฟังเต็มไปหมด เป็นเรื่องที่เราโต้ตอบไม่ถูก เราเกลียดการประชดประชัน เราไม่ชอบเวลาเธอมาทำทีเล่นทีจริง พอเราตอบไปตรงบ้างอ้อมบ้างตามแบบของเรา ก็กลายเป็นเรา ที่ดูแย่ ไม่ช่วยเหลือ ไม่มีน้ำใจ

เธอคาดหวังอะไรกันแค่ไหนหรือ? ฉันทำได้แค่นี้แหละ
"สิ่งที่ควรจะต้องเป็น" ของเธอ คงต่างจาก "สิ่งที่ควรจะต้องเป็น" ของฉัน
ความคาดหวังของเราช่างต่างกันคนละโลก

หรือเราจะเข้ากันไม่ได้จริงๆ

21 กรกฎาคม 2553

ทำความเข้าใจ เพื่ออะไร?

เรามักจะตั้งคำถามกับตัวเองยามที่ต้องพยายามปรับตัวปรับใจ ทำความเข้าใจคนที่ต่างจากเรา
เมื่อรู้สึกว่าพยายามอยู่ข้างเดียว หรือบางเรื่องก็ยากที่จะเข้าใจ บางครั้งก็ทำให้เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ และเรียกร้องว่า ทำไมไม่เข้าใจฉันบ้างนะ
เมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามนี้ ก็จะมาปรากฎตัวต่อหน้าทันใดว่า "ทำความเข้าใจ เพื่ออะไร?"

เราเคยตอบคำถามนี้กับตัวเองว่า อย่างน้อยการได้พยายามคิดและเข้าใจน่าจะช่วยชะลอความรู้สึกเกลียดชัง ให้เราได้กลับมาทบทวน ซึ่งเป็นการชะลอการ"ตัดสิน"คนอื่นในแบบที่เราอยากให้เป็น

แต่ก็รู้สึกว่าคำตอบนี้บางครั้งก็ยังต้านความรู้สึกเหนื่อยกับการพยายามทำความเข้าใจไม่ไหว
หรือบางทีก็ยังคิดแย้งขึ้นมาอีกว่า เข้าใจแต่ยังไงก็ยอมรับไม่ได้ แล้วยังไงต่อล่ะ?

วันหนึ่งเราได้ถามคำถามนี้กับพี่คนหนึ่ง ว่าเราจะพยายามเข้าใจคนอื่น ไปเพื่ออะไร?
พี่แสนน่ารักผู้นี้ บอกเราว่า เพราะเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ หรือถ้าเปลี่ยนได้ ก็อาจจะยากกว่าการที่เราเป็นฝ่ายเปลี่ยน เปลี่ยนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนตัวเองไปกับเค้า เพราะเราก็ยังเป็นเราที่มีความคิดเป็นของเรา แต่อาจจะต้องเปลี่ยนมุมคิด เพื่อทำความเข้าใจ เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันได้ และอย่างน้อยๆ การพยายามเข้าใจ ก็จะยิ่งทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้นด้วย ว่าที่ทางของเราอยู่ตรงไหน เราจะเลือกทำอะไรหรือเลือกไม่ทำอะไร

ขอบคุณบทสนทนาจากพี่แสนน่ารักคนนี้ค่ะ เพราะมันช่วยเคลียบางอย่างในใจน้องได้มากทีเดียว
ขอให้มีกำลังใจกันต่อไปค่ะ

17 กรกฎาคม 2553

โบกมือลา เรื่องเดิมๆ

ฟ้าสีฟ้าจ้า กับความร้อนอบอ้าวในยามบ่าย
มารู้ตัวอีกครั้ง เธอก็เดินทางจากไปไกลแล้ว
ฉันเอ่ยคำลาสั้นๆ โบกมือลาเบาๆ กับความว่างเปล่า
เรื่องเดิมๆ ที่เคยเศร้า จากกันไปเสียที
คล้ายว่าโล่งใจ แต่ทว่าไม่แน่ใจ
คล้ายว่าจะเหงา ดังเหมือนเพื่อนเก่าจากไป
ลาจากไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ย้อนกลับมา
และในครั้งหน้า หากได้พบกันอีก
ฉันจะไม่ลืมขอบคุณเธอ ดั่งเช่นในครั้งนี้
ยิ้มผ่านความทรงจำที่เรามี
อย่างเช่นเพื่อนเก่าพบกัน :)

14 กรกฎาคม 2553

ในความเงียบงัน

ไม่ได้มาเขียน Blog นานเลยทีเดียว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆนอกจาก ความขี้เกียจและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทางใจที่จะเขียนอะไรที่ยาวๆไปกว่า status สั้นๆใน Facebook

ช่วงสองสามเดือนที่หายไป ในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกออนไลน์มีปรากฏการณ์ทางสังคมเกิดขึ้นมากมาย และในปรากฏการณ์เหล่านั้น มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไร้ที่ทาง และบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกว่าใจคนเราช่างน่ากลัว ทำให้นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่ได้เพิ่งอ่านจบไปไม่นานมานี้ นั่นคือ เรื่องสั้นที่ชื่อว่า "The Silence " ของ Haruki Murakami หรือที่แปลเป็นไทยโดยคุณ ดนัย คงสุวรรณ์ ว่า "เงียบงัน"

ฉันอ่านมันอย่างเงียบงันซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ

เป็นเรื่องอดีตของนักมวยคนหนึ่ง ซึ่งมองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวัยเรียน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสุดแสนจะธรรมดาสามัญของเด็กชายผู้สันโดษเงียบขรึมคนหนึ่ง วันนึงเกิดไปมีเรื่องกับคนประเภทหนึ่ง (ที่ฉันคิดว่าคนแบบนี้น่ากลัวเหลือเกิน) คือคนที่ภายนอกแล้วดูเป็นคนเข้ากับผู้คนได้ดี เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่มองออกได้อย่างเก่งกาจ แต่ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ต้องการให้ใครเหนือกว่าตนเอง และพร้อมที่จะรอคอยจังหวะเหมาะๆที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหนือกว่า ชีวิตวัยเรียนของนักมวยคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เพราะถูกใส่ร้าย ซึ่งมาพร้อมๆกับการลงทัณฑ์ทางสังคม เขาถูกคนอื่นมองในแง่ลบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่มีใครสักคนที่จะถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสายตาของคนเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่เขาต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาคือสู้กับความรู้สึกของตัวเองให้สามารถผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานแบบนี้ไปให้ได้

เมื่อมองย้อนกลับมา ในวันที่เขาผ่านมันมาได้ ตัวละครตัวนี้บอกกับเราว่า

"ที่ผมกลัวไม่ใช่คนอย่างอะโอะกิหรอกครับ คนอย่างอะโอะกินั่นที่ไหนก็มี ผมยอมแพ้คนประเภทนี้ไปแล้ว พอเห็นคนแบบนี้ ผมพยายามไม่ข้องเกี่ยวด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กลายเป็นคนประเภทที่เรียกว่ารู้หลบรู้หลีกนั่นแหละครับ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย คนแบบนี้ดูออกง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็พบว่า คนอย่างอะโอะกิก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะ พวกเขามีความสามารถที่หลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ รอให้โอกาสมาถึง มีความสามารถที่จะคว่าโอกาสนั้นมาใช้ประโยชน์อย่างเก่งกาจ และมีความสามารถที่จะจูงใจคนและควบคุมได้อย่างแยบยล นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ใครๆก็มีนะ แม้ผมจะเกลียดเรื่องพวกนี้เข้าใส้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสามารถ"
"ที่ผมกลัวจริงๆคือ คนที่เชื่อคำพูดของคนอย่างอะโอะกิทั้งอย่างนั้นโดยไม่พยายามพิจารณาอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ก็เต้นเร่าไปตามน้ำคำของคนที่ฝีปากดี แล้วรวมกันเคลื่อนไหวเป็นหมู่ คนพวกนี้ไม่หยุดคิดแม้เพียงน้อยว่า ตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เป็นคนพวกที่ไม่ฉุกใจคิดเลยว่าตัวเองกำลังทำร้ายใครบางคนอย่างไม่มีความหมาย อย่างร้ายกาจ คนเหล่านี้จะไม่รับผิดชอบต่อผลของการกระทำใดๆของตัวเองทั้งนั้น ที่ผมมกลัวจริงๆ คือ คนพวกนี้ ต่างหาก"
(หน้า 79-80)

ในปัจจุบันขณะที่ Social Sanction กำลังเข้มข้นและรุนแรง เรากำลังเต้นเร่า เหมือนอย่าง คนพวกนี้ อยู่หรือเปล่า?

หรือคำตอบจะเป็น...ความเงียบงัน

*** เรื่องสั้น "The Silence" ของ Haruki Murakami ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณดนัย คงสุวรรณ์ ซึ่งเรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" (Lexington Ghosts) โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่

19 เมษายน 2553

เปล่งแสง

ขอบคุณ อัสดง...

วันที่จิตใจอ่อนไหว อารมณ์ไม่มั่นคงเช่นวันนี้
ฉันผ่านมันไปได้ด้วยดี จากแสงสว่างของเธอที่เผื่อแผ่มาให้กับฉัน
เธอบอกฉันว่า เธอก็ไม่ใช่คนที่จะมีความสุขตลอดเวลา
แต่เธอก็พยายามทำให้ชีวิตเธอมีความสุข และเธอก็อยากเห็นฉันมีความสุข
ฉันรู้สึกเหมือนเธอมีแสงเปล่งประกาย และโดยไม่รู้ตัว เธอได้ส่องแสงอุ่นๆของเธอมาถึงฉันด้วย
ขอบคุณสำหรับการรับฟัง ขอบคุณสำหรับความเข้าอกเข้าใจ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ขอบคุณสำหรับความหวังและแรงบันดาลใจ

สักวัน ฉันจะมีแสงสว่างในตัวเอง

5 เมษายน 2553

ฉันไม่รู้จริงๆว่าแกชื่ออะไร



เปิดสมุดบันทึกเก่าๆ...

เรารู้จักกันครั้งแรกและครั้งเดียวในเช้าวันนั้น วันที่ลมทะเลพัดใบหน้า ช่วงเวลาระหว่างรอแสงสีส้มแทนที่ฟ้าสีเทา ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่การมีแกมานั่งนิ่งๆใกล้ๆ มันทำให้ฉันสบายใจ และดูเหมือนอะไรๆจะสว่างกระจ่างขึ้นพร้อมๆกับการมาของดวงตะวัน

ฉันไม่รู้ว่าแกชื่ออะไร แต่วันนั้นฉันได้หยิบปากกามาร่างภาพนี้ไว้ เป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้พบกัน ได้นั่งข้างๆกันในเช้าวันหนึ่ง

17 มีนาคม 2553

งานที่อยากทำ กับสิ่งที่เราเป็น

คำถามพื้นฐานที่ถูกถามจากใครต่อใครนับครั้งไม่ถ้วนที่ตอบยากที่สุดคำถามหนึ่งคือ "อยากทำงานอะไร? หรือ อยากจะเป็นอะไร?"

ฉันเองก็เป็นอีกคนที่มีปัญหากับการตอบคำถามนี้เสมอ และมักจะพยายามคิดอย่างมีความหวังว่าสักวันฉันจะตอบคำถามนี้ได้เสียที

การค้นหาตัวเองสำหรับบางคน อาจใช้เวลาทั้งชีวิต

วันนี้มีโอกาสได้นั่งฟังพี่คนหนึ่งเล่าถึงชีวิตของเขา พี่เขาบอกว่าตอนนี้อายุ 40 กว่าแล้ว ก็ยังค้นหาตัวเองอยู่เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขกับชีวิตที่ผ่านมา แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่เลือกทำยังอาจจะไม่ใช่สิ่งที่"ใช่ที่สุด" แต่สิ่งที่เลือกทำก็ล้วน "มีความหมายต่อชีวิต" ซึ่งอย่างน้อยมันก็มีความหมายกับตัวเรา ใจเรา และทำให้เรารู้สึกสันติกับตัวเอง

"ทำในสิ่งที่มีความหมาย" คำพูดนี้ทำให้คำตอบอะไรหลายๆอย่างผุดขึ้นในใจของฉัน และทำให้ฉันยิ้มให้กับตัวเองและยิ้มให้กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เลือกไม่ว่าจะในช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือในตอนนี้ มันมีความหมายกับฉันจริงๆ แม้คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจการเลือกของฉัน แต่แค่ตัวเราเข้าใจตัวเรา ตอบใจของเราได้ นั่นก็พอแล้ว

ขอบคุณค่ะสำหรับคำพูดสร้างแรงบันดาลใจของพี่
ฉันก็จะค้นหาไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำในสิ่งที่เลือกไปเรื่อยๆเช่นกัน

15 มีนาคม 2553

การสื่อสาร กับ ความสัมพันธ์

หลายครั้งที่เราพบว่า ความสัมพันธ์มีปัญหา อันเนื่องมาจากเราไม่ยอมสื่อสารกัน อาจจะเนื่องด้วยเหตุปัจจัยต่างๆนานาจนถึงอคติความดื้อดึงส่วนบุคคล ที่ใช้วิธีการจัดการด้วยการเงียบเฉย หรือคิดว่าไม่พูดดีกว่า

เมื่อไม่สื่อสาร ก็ไม่เข้าใจกัน และหลอกหลอนตัวเองไปกับ "การคิดจินตนาการไปเอง"

เราเองก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสารเช่นกัน เมื่อสำรวจตนเอง เราพบว่า เรากลัวที่จะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาตามที่ใจเราคิด เพราะเรากลัวว่า อีกฝ่ายจะยอมรับไม่ได้ในความเห็นที่ต่างออกไป และอาจจะกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ ซึ่งเราอยากจะถนอมรักษาไว้อย่างดีที่สุด แต่การที่เราทำแบบนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเราเห็นด้วยกับสิ่งนั้น และมันก็ทำให้เราไม่สบายใจ ที่ไม่สามารถแสดงจุดยืนของตัวเองออกไปได้ การหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริงอาจทำให้เราต่างเข้าใจความเป็นตัวตนของกันและกันน้อยลงก็ได้ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นบททดสอบความสัมพันธ์ ว่าในยามที่เราเห็นต่างกัน มิตรสัมพันธ์ของเรายังคงแข็งแรงอยู่หรือไม่ และหากไม่เดินหน้าทดสอบ มันก็จะไม่มีวันล่วงรู้

เห็นที คงจะถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องพาตัวเองให้หลุดจากการสื่อสารแบบตามใจคนอื่นมากกว่าตามใจเราคิดเสียที แม้ว่าไม่มีใครการันตีอะไรได้ว่า หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเราจะยังแข็งแรงอยู่อีกหรือไม่ แต่มันก็จะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนก็ตาม

4 มีนาคม 2553

ของฝากจากทะเล

I'm lost in paradise @ Mu Koh Surin


ทะเลสวยขาดใจ ขอโทษด้วย หากเก็บความสวยลงกระดาษไว้ได้ไม่หมด


ต้นจิกทะเล ขึ้นเรียงรายริมชายหาดไม้งาม เหมือนเป็นต้นไม้คู่หาดนี้เลยก็ว่าได้




นี่คือ ใบต้นจิกทะเล สีเหลืองจัดจ้า ปลิวหล่นลง ตัดกับท้องน้ำเขียวจี๋



และนี่คือ ดอกจิกทะเล ร่วงหล่นเกลื่อนกลาดเต็มหาด
ขั้วของมันแสนเปราะบาง จับเบาๆ กลีบดอกและเกสรก็หลุดจากขั้วไปเสียง่ายๆ



วิวหน้าเต๊นท์ ที่อ่าวไม้งาม นั่งมองได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
น้ำทะเล มัน ฟ้า เขียว ระยิบระยับไปหมด
สวยจนเรียกไม่ถูกว่า มันสีเขียวอะไร?


หวังว่าคงจะชอบ ของฝากจากทะเล :)


ไปทะเลมา

ไปทะเลมา

นั่งมองทะเลใส น้ำสีเขียวสวยสุดใจ ลืมหมดสิ้นสิ่งใดที่ทำให้ใจกังวล
แม้จะแสนสุขใจ แต่บางครั้งมันก็เศร้าอย่างไร้เหตุผล เมื่อมองไปยังอีกฟากของขอบฟ้า
มองเส้นแบ่งฟ้ากับน้ำ สิ่งที่รู้สึกคือ "ความอ้างว้าง" มันช่างสวยงาม แต่ก็แสนเศร้า


น้ำทะเลขึ้นลงตามดวงจันทร์ ฉันนั่งมองความธรรมดาสามัญของโลกใบนี้ น้ำขึ้นเต็มฝั่งเขียวระยับรับแดดจ้า ให้ฉันลอยตัวแหวกว่าย แต่สักพักน้ำลง เหือดแห้ง เผยให้เห็นร่องรอยสิ่งที่อยู่ภายใต้น้ำปริ่มอิ่มเต็ม น้ำพัดพาไป ทำเอาใจหาย แต่ไม่นานลมก็จะพัดกลับเข้ามา หอบเอาน้ำทะเลกลับมาอีกครั้ง วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

จากมา วันหนึ่งก็ต้องกลับไป ไม่ช้าก็เร็ว

10 กุมภาพันธ์ 2553

อย่าทำร้ายกันด้วยวาจา

คำบางคำ มันยังติดค้างอยู่ในใจ
ลอยไป ลอยมา ทิ่มแทงใจ ไม่ยอมไปไหน
คำที่ออกจากปากเธอ ฉันใส่ใจ
แต่มันเจ็บปวดรู้ไหม ที่ต้องใส่ใจมันอย่างนี้
ไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือไม่
โปรดอย่าทำร้ายฉันด้วยถ้อยคำของเธอ

ต้องเปลี่ยนที่ฉัน หรือปรับที่เธอ
แค่อยากให้เธอพูดกับฉันดีๆ
ระวังความรู้สึกของฉันมากกว่านี้
ฉันเรียกร้องได้ไหม จากมิตรภาพที่ผ่านมา...

6 กุมภาพันธ์ 2553

"ดาหลา"


"ดอกดาหลา"

"ฉันไม่รู้หรอกว่า ดอกไม้ชนิดนี้ มีความหมายว่าอะไร
แต่มันคงมีความหมายบางอย่าง สำหรับฉัน หากได้รับมันมาจากเธอ"


ปล. วาดเล่นที่อัมพวา เค้าว่าแถวนั้นก็ปลูกดอกดาหลากันเยอะนะ :)


18 มกราคม 2553

วาดรูปบำบัด


ภาพนี้ คือความสุขของวันนี้
วันที่เหนื่อยเหลือเกิน...

ใกล้หมดแรง

ผ่านมาเนิ่นนาน ฉันยังสงสัย
เกิดมีวันใด ใจหมดเรี่ยวแรง
ที่เคยยอมทน ที่เคยสับสน มันมีเส้นแดง
บทเรียนคงแพง หากเกินเส้นไป

2 มกราคม 2553

ปีที่ผ่านมา เราเติบโตขึ้นบ้างหรือเปล่า?

ปีที่ผ่านมา เราเติบโตขึ้นบ้างหรือเปล่า?

มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เราเคารพรักบอกกับเราว่า

" I'll tell you a secret, there is no such a thing as growing up after you are 18. It's just how can you conceal your emotions and manipulate others are what you can learn in order to "grow socially". You are what you are and it can't change internally. "

การเติบโตจากการหล่อหลอมบางอย่างอาจจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่การเดินทางทั้งภายนอกและภายในยังไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับเรา คำถามนี้เป็นการทบทวน สำรวจตนเอง กับเหตุการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองในปีที่ผ่านมา ว่าเราเรียนรู้อะไรบ้าง เข้าใจอะไรมากขึ้นบ้าง ก้าวผ่านสิ่งใดไปได้แล้วบ้าง มีสิ่งใดที่ยังทำไม่ได้และยังต้องพยายามต่อไปอีกบ้าง

เราพบว่า ในปีที่ผ่านมา เรื่องบางเรื่องก็ไม่ "ใหญ่" ทับเรา เท่าเดิมอีกต่อไป เจ็บน้อยลง รับมือได้ดีขึ้น ยิ้มให้มันได้มากขึ้น บางเรื่องก็ปลดล้อคตัวเองออกจากพันธนาการเก่าๆได้แล้ว แต่ก็พบหลายเรื่อง ที่เกิดขึ้นมาใหม่ ให้สับสนงงงวยว่า เรารู้สึกอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้นะ มีคำถามใหม่ๆเกิดขึ้นกับตัวเองเสมอ มีอุปสรรคทางกายและทางใจใหม่ๆให้ฝ่าฟัน และเรื่องเก่าๆก็ยังมีตกค้างหลงเหลือทำให้ต้องพยายามกันต่อไป เพื่อวันนึงเราจะอยู่กับมันได้อย่างที่ควรจะเป็น เพื่อที่จะเป็นเราในแบบที่เราอยากจะเป็น บทสรุปของเราในปีนี้ เราอาจจะยังจัดการกับสิ่งต่างๆได้ไม่ดีเลิศนัก ยังร้องไห้ง่ายๆกับเรื่องเดิมๆ ยังจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างไม่ได้ ยังไม่เก่ง ยังไม่กล้า ยังไม่วางใจในความสัมพันธ์ แต่เราเชื่อว่ามันคงเขยิบมากขึ้นอีกขั้น และเราจะพยายามต่อไป

ต้องขอขอบคุณ "เพื่อน" ทุกคน "บทสนทนา" ทุกบท "เหตุการณ์" ทุกเหตุการณ์ ที่ทำให้เราเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ขอบคุณที่อยู่เคียงข้าง และโอบอุ้มกันมาเสมอ ทั้งในยามสุขและเศร้า ขอบคุณมากค่ะ