แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Keep on reading แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Keep on reading แสดงบทความทั้งหมด
6 สิงหาคม 2556
อัมมูรักเธอน้อยลง
ราเฮลตัวชา เธอเสียใจที่หลุดปากพูดไป เธอไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมาจากไหน ไม่รู้ว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเธอ และมันได้แสดงตัวแล้วในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะถอยกลับ พวกเขายืนอยู่บนขั้นบันไดแดงเหมือนเสมียนราชการ ที่บางคนยืน บางคนนั่งขาสั่น อยู่ในสำนักงาน
'ราเฮล' อัมมูพูดกับเธอ 'ลูกรู้มั้ย ว่าลูกพูดอะไรไป'
นัยน์ตาตกใจกับผมน้ำพุ มองอัมมู
'ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว' อัมมูว่า 'แค่ตอบมา แค่นั้น'
'อะไรกันคะ' ราเฮลพูดเสียงเบาที่สุด
'รู้ตัวรึเปล่า ว่าได้ทำอะไรลงไป' อัมมูถามซ้ำ
นัยน์ตาตกใจกับผมน้ำพุ มองอัมมู
'ลูกรู้มั้ย ว่าเวลาลูกทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจน่ะมันเป็นอย่างไร' อัมมูว่า 'เวลาลูกทำให้คนอื่นเจ็บปวด เขาจะรักลูกน้อยลง นี่แหละคือผลของการไม่ระวังคำพูด มันจะทำให้คนเขารักลูกน้อยลง'
แมลงชีปะขาวตัวเย็นชืดกับกระจุกขนบนหลัง ค่อยๆเกาะกุมหัวใจของราเฮล ขาเย็นๆของมันเกาะลงที่ตรงไหน เธอขนลุกตรงนั้น รอยปูดหกรอยบนหัวใจไร้ความระมัดระวัง
อัมมูรักเธอน้อยลง
....................................................................
แมลงชีปะขาวในหัวใจราเฮลเริ่มกางปีกเลื่อมพราย ราเฮลหนาวไปถึงกระดูก
....................................................................
'อัมมูคะ' ราเฮลพูดกับแม่ 'หนูขอไถ่โทษ ด้วยการอดอาหารค่ำค่ะ'
เธอฉลาดพอที่จะต่อรองกับแม่ ยอมไม่กินอาหารค่ำ แลกกับขอให้แม่รักเหมือนเดิม
'ตามใจ' อัมมูตอบ 'แต่แม่ขอแนะนำให้กิน ถ้าอยากโตก็ต้องกิน เธอขอแบ่งไก่ของจักโกได้นี่'
'อาจจะได้หรืออาจจะไม่ได้' จักโกตอบ
'แล้วเรื่องการลงโทษล่ะคะ' ราเฮลถาม 'แม่ยังไม่ได้ลงโทษหนูเลยนี่คะ'
'บางทีการลงโทษก็เป็นไปของมันเอง' เบบี้โกจัมมา อธิบาย ราวกำลังอธิบายเลขคณิตที่ราเฮลไม่เข้าใจ
บางทีการลงโทษก็เป็นไปของมันเอง มาเป็นชุดเหมือนห้องนอนกับตู้ติดผนัง ซึ่งอีกไม่นานพวกเขาจะได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการลงโทษ โทษที่หนักเบาต่างๆกัน บางครั้งโทษหนักเหมือนตู้ติดผนังใหญ่ในห้องนอน คุณอาจต้องอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิต เดินวนอยู่บนชั้นและลิ้นชักที่มืดมิด
....................................................................
ราเฮลยืนอย่างเปล่าเปลี่ยว มองพวกเขาเดินเงียบๆไปบนโถงทางเดินของโรงแรม พวกเขาจากไปอย่างเงียบเชียบราวเงาร่างของผี แต่ผีนี้มีความสำคัญ ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง เด็กชายกับรองเท้าสีทรายปลายแหลม พรมแดงดูดเสียงก้าวเดินของพวกเขา
ราเฮลยืนเศร้าอยู่ที่ประตูห้อง
ใจเธอเศร้า ที่โซฟี โมลเดินทางมา เศร้าที่แม่รักเธอน้อยลง เศร้ากับทุกสิ่งที่ ชายขายน้ำส้มน้ำมะนาว ทำกับเอสธาที่โรงภาพยนตร์อภิลาสทัลกีส์
ลมพัดบาดดวงตาแห้งผากปวดรวดร้าว
บางส่วนจาก เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (The God of Small Things)
โดย อรุณธตี รอย
แปลโดย สดใส
Sad and Beautiful อ่านแล้วรูสึกเศร้าไปกับเด็กน้อยราเฮล สะเทือนไปกับความกลัวที่จะถูกรักน้อยลง น้อยลง น้อยลง และสุดท้ายมันจะหายไป....
29 กรกฎาคม 2555
Wings and Running
How much you love me?
...
...
...
Devi : "Loving you is like having wings. Like a great, massive pair of wings have been attached to my back, so that my feet no longer touch the ground." You?
...
...
Machu : "Like running." Like running through a forest, faster than anyone else can, than anyone ever has. When I run so fast that the trees begin to blur together, when I can almost see the shapes of the veera in their shadows. When my feet move so fast that time, distance, everything else falls away, when all that is left is the magic of the moment, that one moment when I'm carried by the wind." He looked steadily at her. "This is like that. Time, distance, it all seems to fade, all that matters is this one moment, this time spent with you."
Tiger Hills, Sarita Mandanna
เป็นบทสนทนาความรักที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันบรรยายได้อย่างสวยงามและจับใจมาก แม้ว่าอ่านไปแล้วความรักของทั้งคู่มันจะเศร้ามากๆก็ตาม
7 กุมภาพันธ์ 2555
เพียงอาคันตุกะผู้ผ่านทาง
ฉันเดินผ่านเจียงหนาน
ใบหน้าที่รออยู่ในฤดูกาล ร่วงโรยดุจปทุมมาศ...
ลมตะวันออกไม่พัดมา กิ่งหลิวในเดือนสามไม่ลู่ลม
หัวใจของเจ้าดุจเมืองเหงาอันแสนเล็ก
ดั่งท้องถนนในยามค่ำ
เสียงฝีเท้าไม่ดังขึ้น ผ้าม่านในเดือนสามไม่เลิกเปิด
หัวใจของเจ้าคือหน้าต่างบานน้อยที่ปิดสนิท
เสียงต๋าต๋าของกีบมาฉัน คือความผิดพลาดที่แสนงดงาม
ฉันไม่ใช่คนที่กลับมา แต่เป็นเพียงอาคันตุกะผู้ผ่านทาง
บทกวีของเจิ้งโฉ่วอี๋ว์
ถูกอ้างถึงในหนังสือ วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส
เขียนโดย หลิวจงเวย แปลสำนวนไทยโดย ภัสธารีย์ ทรัพย์สัณฐิติกุล
17 พฤศจิกายน 2554
ดอกไม้สีม่วงนอกหน้าต่าง
ดอกไม้สีม่วงนอกหน้าต่าง
ประกาย ปรัชญา
1.
คมจันทร์ตะวันออก หรือหมอกขาว
รวงแดดฤดูหนาว หรือดาวเหนือ
เพลงมิรู้โรยราจากท่าเรือ
หรือดนตรีผีเสื้อเหลือจะนับ
ที่กล่อมเกลา
อ่อนโยนอ่อนเยาว์ยามเจ้าหลับ
แตะสวย แต้มใส ได้ตื่นซับ
ห่มแวววัน - แวววับกับค่ำคืน
ที่ถักทอ
ม่วงละเอียดลออเต็มช่อชื่น,
ม่วงระบัดระบายอยู่พรายพื้น
ผลิเจ้าแย้ม - เจ้ายื่นความรื่นรมย์
หรือเรืองไรภายในใจเจ้าเอง
เบ่งบาน บ่มเพาะ เหมาะสม
ถักช่อ ทอชื่น ดั่งผืนพรม
แมลงเช้าเลียบชมในลมเช้า
2.
เปลวไฟในหนังสือหรือรักนั้น
เธอมาเยือนเหมือนฝัน หรือวันเก่า
คลื่นสานเสียงหวานใสไว้บางเบา
หรือเปียโนหวานเศร้าผ่านเข้ามา
ที่อบอวล
สวนแห่งความครุ่นคิด - ชีวิตข้า
สบสายทางสีทองของเวลา
ปีติเต็มนัยน์ตา - น้ำตาคลอ
ที่กรุ่นกราย
กลิ่นเอยกลิ่นอายหลายดอกช่อ
หลากพุ่มพันธุ์ - สีสรรพ์อันเพียงพอ
ก่อเกิดบทกวี - สวนชีวิต
หรือเรืองไรภายในใจเจ้าเอง
เบ่งบาน ทุกระยะ ขณะจิต
พราวพร้อย จากน้อย จากน้อยนิด
ได้แดดเช้าชวนชิดเป็นมิตรเช้า
3.
ลมหอบความเหน็ดหน่ายเพื่อบ่ายหน้า
เกินกลับคืนหาข้า - มองหาเจ้า
นอกและในหน้าต่างระหว่างเรา
เพลินยั่วยิ้มยั่วเย้าอยู่เท่าทัน
นาทีอันแสนดีนาทีใด
เรารู้ว่าราไฟไม่มอดฝัน
โมงยามอันแสนงามโมงยามนั้น
เราโผพ้นขีดขั้นของวันคืน
1.
คมจันทร์ตะวันออก หรือหมอกขาว
รวงแดดฤดูหนาว หรือดาวเหนือ
เพลงมิรู้โรยราจากท่าเรือ
หรือดนตรีผีเสื้อเหลือจะนับ
ที่กล่อมเกลา
อ่อนโยนอ่อนเยาว์ยามเจ้าหลับ
แตะสวย แต้มใส ได้ตื่นซับ
ห่มแวววัน - แวววับกับค่ำคืน
ที่ถักทอ
ม่วงละเอียดลออเต็มช่อชื่น,
ม่วงระบัดระบายอยู่พรายพื้น
ผลิเจ้าแย้ม - เจ้ายื่นความรื่นรมย์
หรือเรืองไรภายในใจเจ้าเอง
เบ่งบาน บ่มเพาะ เหมาะสม
ถักช่อ ทอชื่น ดั่งผืนพรม
แมลงเช้าเลียบชมในลมเช้า
2.
เปลวไฟในหนังสือหรือรักนั้น
เธอมาเยือนเหมือนฝัน หรือวันเก่า
คลื่นสานเสียงหวานใสไว้บางเบา
หรือเปียโนหวานเศร้าผ่านเข้ามา
ที่อบอวล
สวนแห่งความครุ่นคิด - ชีวิตข้า
สบสายทางสีทองของเวลา
ปีติเต็มนัยน์ตา - น้ำตาคลอ
ที่กรุ่นกราย
กลิ่นเอยกลิ่นอายหลายดอกช่อ
หลากพุ่มพันธุ์ - สีสรรพ์อันเพียงพอ
ก่อเกิดบทกวี - สวนชีวิต
หรือเรืองไรภายในใจเจ้าเอง
เบ่งบาน ทุกระยะ ขณะจิต
พราวพร้อย จากน้อย จากน้อยนิด
ได้แดดเช้าชวนชิดเป็นมิตรเช้า
3.
ลมหอบความเหน็ดหน่ายเพื่อบ่ายหน้า
เกินกลับคืนหาข้า - มองหาเจ้า
นอกและในหน้าต่างระหว่างเรา
เพลินยั่วยิ้มยั่วเย้าอยู่เท่าทัน
นาทีอันแสนดีนาทีใด
เรารู้ว่าราไฟไม่มอดฝัน
โมงยามอันแสนงามโมงยามนั้น
เราโผพ้นขีดขั้นของวันคืน
ได้รู้จักบทกวีบทนี้โดยบังเอิญ อ่านแล้วรู้สึกถึงความอ่อนไหว ทั้งในตัวฉันและบทกวี
12 ตุลาคม 2554
สิ่งเก่าๆ เรื่องเก่าๆ
เราไม่อาจกลับไปหาสิ่งเก่าๆ หรือพยายามจะ 'ดึง' อารมณ์ความรู้สึกเก่าๆ ออกมาจากบางสิ่งในแบบที่เราเคยจดจำมันไว้ได้ เรามีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำ มันดีและวิเศษ แต่เราก็ต้องก้าวต่อไปหาสิ่งอื่นๆอีก
เพราะเรื่องเก่าๆไม่มีอยู่ที่ไหนอีกแล้ว นอกจากในใจของเรา ณ ขณะนี้เท่านั้น
เออร์เนสต์ มิลเลอร์ เฮมมิงเวย์
(21 กรกฎาคม 1899 - 2 กรกฎาคม 1961)
จากหนังสือ วาระสุดท้าย โดยโตมร ศุขปรีชา
29 กันยายน 2554
เร้น
เร้น : มนตรี ศรียงค์
ห่วงว่าใจหนึ่งดวงจะร่วงลา จึงคงคิดถึงประหนึ่งว่า
เธอยังอยู่ใกล้ใกล้เพียงปลายตา เพียงคว้าสวมกอดมาพรอดคำ
เป็นคำรักคำเดิมแต่เริ่มแรก แอบแกวกน้ำใสอันไห้ร่ำ
มองฟ้ามืดคลี่ด้วยสีดำ ทรงจำช้ำบอบอยู่กรอบตา
โดดเดี่ยวดึกดื่น - คืนนี้ ความทรงจำที่มี - ไร้ค่า
ซ้อนซ่อนเกยเก่ยอยู่ปลายตา เอื้อมคว้าห่างไกลแม้ปลายมือ
ห่วงว่าใจหนึ่งดวงจะร่วงลา จึงคงคิดถึงประหนึ่งว่า
เธอยังอยู่ใกล้ใกล้เพียงปลายตา เพียงคว้าสวมกอดมาพรอดคำ
เป็นคำรักคำเดิมแต่เริ่มแรก แอบแกวกน้ำใสอันไห้ร่ำ
มองฟ้ามืดคลี่ด้วยสีดำ ทรงจำช้ำบอบอยู่กรอบตา
โดดเดี่ยวดึกดื่น - คืนนี้ ความทรงจำที่มี - ไร้ค่า
ซ้อนซ่อนเกยเก่ยอยู่ปลายตา เอื้อมคว้าห่างไกลแม้ปลายมือ
8 เมษายน 2554
จากหมูตัวเล็กกระจึ๋งเดียว
แร็บบิต ผู้ซึ่งลงมือเขียนอะไรยุกยิกไปบ้างแล้ว เงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า
"เพราะตัวเล็กมากน่ะสิ นายถึงมีประโยชน์ในการผจญภัยที่กำลังรอเราอยู่"
สำหรับพิกเลตแล้ว พูห์ร้องเป็นเพลงว่า...
สัตว์น้อยตัวจ้อยผู้แสนขี้อาย
ฝันอยากกลายกลับกล้าสูงใหญ่
มันมัวรีรอลังเล อ่อนไหว
รอโอกาสได้มีชีวิตชีวา
แต่เวลาแล่นฉิวผ่านเลย
โอกาสเกิดแล้วตายใหม่...
หากกลัวรีรอไม่ทำสิ่งใด
คงบินไม่ได้แม้มีปีกงาม
แต่ 'ตัวตน' อันกล้าสามารถ
ที่เธออยากเห็นและเป็นเสมอ
ไม่มีใครทำให้ได้นะเออ
เธอต้องสร้างด้วยความพิเศษของเธอเอง
เธออาจเป็นดั่งดาวนำทาง
ได้ฉายแสงสว่างของเธอเสมอ
หากเธอใช้ความพิเศษของเธอ
อีกทั้งยอมเป็นเกลอกับเธอเอง
ส่วนความอ่อนไหวอันน่าอับอาย
ที่อยากให้หายวับไปเสมอ
อย่าได้ดูถูกมันเชียวนะเออ
เผลอเผลอมันอาจช่วยเปิดประตู
พาเธอสู่โลกกว้างไกลหลากหลาย
ที่คนมากมายอาจไม่เคยรู้
แล้วความภูมิใจที่เธอมีอยู่
จะนำเธอสู้ชีวิตต่อไป
มันจะไม่พาเธอดิ่งเหว
มันจะไม่พาความล้มเหลวมาผลักไส
แต่มันจะทำให้เธอรู้ต่อไป
ว่าในความตัวเล็กนั้น...ยิ่งใหญ่นา
จากหนังสือ เต๋อแบบพิกเลต (The Te of Piglet)
เขียนโดย Benjamin Hoff แปลโดย อัจฉรา ประดิษฐ์
เพิ่งได้หนังสือเล่มนี้จากงานสัปดาห์หนังสือปีนี้ ด้วยความเป็นพิกเลต และปกสีหวาน ทำให้ตัดสินใจไม่ยากเลยที่จะจ่ายเงินซื้อ "มันเป็นเรื่องยากที่จะกล้าหาญ ในเมื่อเราตัวเล็กกระจึ๋งเดียว" ประโยคนี้ของพิกเลตสะท้อนความเป็นหมูน้อยขี้กลัว ที่อ่านแล้ว 'เห็นตัวเอง'
Benjamin Hoff เล่าปรัชญาตะวันออก ผ่านมุมมองของ ตัวละครต่างๆในวรรณกรรม วินนี่ เดอะ พูห์ ซึ่งเล่มนี้พระเอกคือ พิกเลต หมูสีชมพูตัวจิ๋วที่ตัวเล็ก ช่างฝัน ขี้กลัว อารมณ์อ่อนไหวและอ่อนน้อมถ่อมตน Hoff อธิบายไว้ว่า
"เต๋อ มีความหมายตามตัวว่า คุณธรรมที่กระทำออกมา เป็นคุณสมบัติของคนพิเศษ ผู้มีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัว แถมคนแบบนี้ยังไม่ค่อยรู้ตัวเสียด้วยว่าตัวเองพิเศษ"
หลายครั้งที่เรามักรู้สึกตัวเล็กเหลือเกินท่ามกลางผู้คน เรามองคนอื่น สิ่งอื่น ใหญ่โตไปหมด เมื่อมองเห็นอย่างนั้น จะรู้สึกตัวเองไม่เก่ง ไม่ดี ไร้ค่า ความเคารพนับถือในตัวเองหล่นฮวบฮาบ ทำให้สูญเสียความมั่นใจไปเลย และหลายครั้งก็ต้องเศร้าเพราะเรื่องเหล่านี้ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็รู้สึกได้กำลังใจ จากแง่มุมที่ผู้เขียนยกมาจากหมูตัวเล็ก บางทีเราห้ามไม่ได้หรอกกับความรู้สึกแบบนั้น (ที่มาเองราวกับความเคยชินอัตโนมัติ) แต่แง่คิดแบบนี้ก็อาจเป็นการให้กำลังใจตัวเอง เพื่อสู้กับความกลัวในใจเรา สู้กับความคิดที่เราสร้างขึ้นมาเอง อาจจะเหมือนกับพิกเลต ที่กลัวเจ้าเฮฟฟาลัมป์จนตัวสั่น ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นเลยว่าเจ้าตัวเฮฟฟาลัมป์นี้หน้าตาเป็นยังไง
7 มีนาคม 2554
Today Inspiration
My Shadow
My Shadow
keeps me company
as I walk home
that's why
when the sun is out
I'm never quite alone
- Charlotte Zolotow -
My Shadow
keeps me company
as I walk home
that's why
when the sun is out
I'm never quite alone
- Charlotte Zolotow -
จากหนังสือ Step Reading ชื่อว่า Seasons : A Book of Poems
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเด็กที่เราไปค้นเจอโดยบังเอิญ ตอนจัด Shelf หมวดหนังสือเด็ก ในซีรี่นี้ (An I Can Read Book) มีหนังสือ ตัวอักษรน้อยๆ ภาพสวยๆ หลายเล่มมาก เราไปนั่งพลิกดูทีละเล่ม และเล่มนี้แหละ ชอบที่สุดแล้ว เลยซื้อมาเก็บไว้เชยชม ที่ชอบมากเพราะ กลอนข้างใน ใสๆ สบายๆ สอนเด็กๆถึงธรรมชาติ ฤดูกาล มีลม มีฟ้า มีฝน มีหิมะ มีใบไม้ มีนก มีท้องฟ้า มีดวงดาว :) และที่สำคัญ ภาพประกอบสวยงาม น่ารักมากๆ วาดภาพประกอบโดย คุณลุง Erik Blegvad ภาพลายเส้นละเอียดๆของคุณลุง ทำเอาอยากลุกขึ้นมาวาด วาด วาด ตามคุณลุง ทุกทีที่หยิบมาอ่าน มีคนเคยรีวิว ผลงานหนังสือเด็กเล่มอื่นๆ และภาพประกอบน่ารักๆของคุณลุงไว้ ลองอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี http://vinpauld.blogspot.com/2010/08/erik-blegvad.html
ดูภาพสวยๆ แล้วก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจ อยากวาดรูปได้สวยๆแบบนี้บ้าง :))))
24 ตุลาคม 2553
Drunk !
Kazami : "I feel like I'm drunk even though I haven't had any alchohol. Doesn't my voice sound strange to you?"
Sui : "You're drunk on your memories."
N.P. , Banana Yoshimoto
Sui : "You're drunk on your memories."
N.P. , Banana Yoshimoto
15 สิงหาคม 2553
The answer is blowin' in the wind
เมื่อตอนที่อ่านหนังสือของคุณโตมรเรื่อง "ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางในห้าทวีป" เราเคยเอามาเขียนใน Blog ว่า อ่านจบแล้วนึกถึงเพลง Blowin' in the Wind ของ Bob Dylan ขึ้นมาจับใจ
และแล้วก็มาเจอบทเพลงนี้อีกครั้งกับ หนังสือเล่มใหม่ของคุณโตมร "เดินทางระหว่างหู"

ในเล่มนี้ คุณโตมรเขียนถึง เสียงของบทเพลงนี้ ได้อย่างงดงามมาก
"ต้องเดินทางกี่สิบประเทศ ย่ำถนนกี่สาย ให้คนตกตายอีกกี่คน มนุษย์บางคนถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวทำ ร่างที่ตนเป็น และทรัพย์ที่ตนสั่งสมนั้น ทั้งมวลล้วนเป็นแค่วิหารที่ว่างเปล่า แล้วคำตอบก็อยู่ในสายลม"
(น.68)
ที่จริงในเล่มนี้ มีคำสวยๆ ประโยคงามๆ ความหมายแหลมคม ที่ทำให้เราตื่นเต้น อยู่ในทุกบท
แต่แค่เราตื่นเต้นนิดหน่อย ที่เพลงโปรด เพลงนี้มาปรากฎในการเดินทางระหว่างสรรพเสียงของนักเขียนคนโปรดอีกครั้ง
เรารู้จักเพลงนี้ครั้งแรก เมื่อ Robin Wright Penn ร้องเพลงนี้และดีดกีต้าร์ตัวใหญ่อำพรางร่างกายที่เปลือยเปล่า ในหนังเรื่อง Forest Gump และชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้อ่านเนื้อเพลง
เมื่อในใจฉันเกิดคำถามโลกแตก หลายครั้งที่เพลงนี้จะแว่วเข้ามาในหัว
ยังคงพร่ำถาม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คำถามเหล่านี้จะหายไป
The answer my friend is blowin' in the wind
The answer is blowin' in the wind
และแล้วก็มาเจอบทเพลงนี้อีกครั้งกับ หนังสือเล่มใหม่ของคุณโตมร "เดินทางระหว่างหู"

ในเล่มนี้ คุณโตมรเขียนถึง เสียงของบทเพลงนี้ ได้อย่างงดงามมาก
"ต้องเดินทางกี่สิบประเทศ ย่ำถนนกี่สาย ให้คนตกตายอีกกี่คน มนุษย์บางคนถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวทำ ร่างที่ตนเป็น และทรัพย์ที่ตนสั่งสมนั้น ทั้งมวลล้วนเป็นแค่วิหารที่ว่างเปล่า แล้วคำตอบก็อยู่ในสายลม"
(น.68)
ที่จริงในเล่มนี้ มีคำสวยๆ ประโยคงามๆ ความหมายแหลมคม ที่ทำให้เราตื่นเต้น อยู่ในทุกบท
แต่แค่เราตื่นเต้นนิดหน่อย ที่เพลงโปรด เพลงนี้มาปรากฎในการเดินทางระหว่างสรรพเสียงของนักเขียนคนโปรดอีกครั้ง
เรารู้จักเพลงนี้ครั้งแรก เมื่อ Robin Wright Penn ร้องเพลงนี้และดีดกีต้าร์ตัวใหญ่อำพรางร่างกายที่เปลือยเปล่า ในหนังเรื่อง Forest Gump และชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้อ่านเนื้อเพลง
เมื่อในใจฉันเกิดคำถามโลกแตก หลายครั้งที่เพลงนี้จะแว่วเข้ามาในหัว
ยังคงพร่ำถาม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คำถามเหล่านี้จะหายไป
The answer my friend is blowin' in the wind
The answer is blowin' in the wind
14 กรกฎาคม 2553
ในความเงียบงัน
ไม่ได้มาเขียน Blog นานเลยทีเดียว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆนอกจาก ความขี้เกียจและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทางใจที่จะเขียนอะไรที่ยาวๆไปกว่า status สั้นๆใน Facebook
ช่วงสองสามเดือนที่หายไป ในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกออนไลน์มีปรากฏการณ์ทางสังคมเกิดขึ้นมากมาย และในปรากฏการณ์เหล่านั้น มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไร้ที่ทาง และบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกว่าใจคนเราช่างน่ากลัว ทำให้นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่ได้เพิ่งอ่านจบไปไม่นานมานี้ นั่นคือ เรื่องสั้นที่ชื่อว่า "The Silence " ของ Haruki Murakami หรือที่แปลเป็นไทยโดยคุณ ดนัย คงสุวรรณ์ ว่า "เงียบงัน"
ฉันอ่านมันอย่างเงียบงันซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ
เป็นเรื่องอดีตของนักมวยคนหนึ่ง ซึ่งมองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวัยเรียน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสุดแสนจะธรรมดาสามัญของเด็กชายผู้สันโดษเงียบขรึมคนหนึ่ง วันนึงเกิดไปมีเรื่องกับคนประเภทหนึ่ง (ที่ฉันคิดว่าคนแบบนี้น่ากลัวเหลือเกิน) คือคนที่ภายนอกแล้วดูเป็นคนเข้ากับผู้คนได้ดี เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่มองออกได้อย่างเก่งกาจ แต่ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ต้องการให้ใครเหนือกว่าตนเอง และพร้อมที่จะรอคอยจังหวะเหมาะๆที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหนือกว่า ชีวิตวัยเรียนของนักมวยคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เพราะถูกใส่ร้าย ซึ่งมาพร้อมๆกับการลงทัณฑ์ทางสังคม เขาถูกคนอื่นมองในแง่ลบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่มีใครสักคนที่จะถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสายตาของคนเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่เขาต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาคือสู้กับความรู้สึกของตัวเองให้สามารถผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานแบบนี้ไปให้ได้
เมื่อมองย้อนกลับมา ในวันที่เขาผ่านมันมาได้ ตัวละครตัวนี้บอกกับเราว่า
"ที่ผมกลัวไม่ใช่คนอย่างอะโอะกิหรอกครับ คนอย่างอะโอะกินั่นที่ไหนก็มี ผมยอมแพ้คนประเภทนี้ไปแล้ว พอเห็นคนแบบนี้ ผมพยายามไม่ข้องเกี่ยวด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กลายเป็นคนประเภทที่เรียกว่ารู้หลบรู้หลีกนั่นแหละครับ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย คนแบบนี้ดูออกง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็พบว่า คนอย่างอะโอะกิก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะ พวกเขามีความสามารถที่หลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ รอให้โอกาสมาถึง มีความสามารถที่จะคว่าโอกาสนั้นมาใช้ประโยชน์อย่างเก่งกาจ และมีความสามารถที่จะจูงใจคนและควบคุมได้อย่างแยบยล นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ใครๆก็มีนะ แม้ผมจะเกลียดเรื่องพวกนี้เข้าใส้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสามารถ"
"ที่ผมกลัวจริงๆคือ คนที่เชื่อคำพูดของคนอย่างอะโอะกิทั้งอย่างนั้นโดยไม่พยายามพิจารณาอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ก็เต้นเร่าไปตามน้ำคำของคนที่ฝีปากดี แล้วรวมกันเคลื่อนไหวเป็นหมู่ คนพวกนี้ไม่หยุดคิดแม้เพียงน้อยว่า ตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เป็นคนพวกที่ไม่ฉุกใจคิดเลยว่าตัวเองกำลังทำร้ายใครบางคนอย่างไม่มีความหมาย อย่างร้ายกาจ คนเหล่านี้จะไม่รับผิดชอบต่อผลของการกระทำใดๆของตัวเองทั้งนั้น ที่ผมมกลัวจริงๆ คือ คนพวกนี้ ต่างหาก"
(หน้า 79-80)
ในปัจจุบันขณะที่ Social Sanction กำลังเข้มข้นและรุนแรง เรากำลังเต้นเร่า เหมือนอย่าง คนพวกนี้ อยู่หรือเปล่า?
หรือคำตอบจะเป็น...ความเงียบงัน
*** เรื่องสั้น "The Silence" ของ Haruki Murakami ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณดนัย คงสุวรรณ์ ซึ่งเรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" (Lexington Ghosts) โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่
ช่วงสองสามเดือนที่หายไป ในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกออนไลน์มีปรากฏการณ์ทางสังคมเกิดขึ้นมากมาย และในปรากฏการณ์เหล่านั้น มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไร้ที่ทาง และบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกว่าใจคนเราช่างน่ากลัว ทำให้นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่ได้เพิ่งอ่านจบไปไม่นานมานี้ นั่นคือ เรื่องสั้นที่ชื่อว่า "The Silence " ของ Haruki Murakami หรือที่แปลเป็นไทยโดยคุณ ดนัย คงสุวรรณ์ ว่า "เงียบงัน"
ฉันอ่านมันอย่างเงียบงันซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ
เป็นเรื่องอดีตของนักมวยคนหนึ่ง ซึ่งมองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวัยเรียน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสุดแสนจะธรรมดาสามัญของเด็กชายผู้สันโดษเงียบขรึมคนหนึ่ง วันนึงเกิดไปมีเรื่องกับคนประเภทหนึ่ง (ที่ฉันคิดว่าคนแบบนี้น่ากลัวเหลือเกิน) คือคนที่ภายนอกแล้วดูเป็นคนเข้ากับผู้คนได้ดี เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่มองออกได้อย่างเก่งกาจ แต่ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ต้องการให้ใครเหนือกว่าตนเอง และพร้อมที่จะรอคอยจังหวะเหมาะๆที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเหนือกว่า ชีวิตวัยเรียนของนักมวยคนนี้ต้องเปลี่ยนไป เพราะถูกใส่ร้าย ซึ่งมาพร้อมๆกับการลงทัณฑ์ทางสังคม เขาถูกคนอื่นมองในแง่ลบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่มีใครสักคนที่จะถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสายตาของคนเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่เขาต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาคือสู้กับความรู้สึกของตัวเองให้สามารถผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานแบบนี้ไปให้ได้
เมื่อมองย้อนกลับมา ในวันที่เขาผ่านมันมาได้ ตัวละครตัวนี้บอกกับเราว่า
"ที่ผมกลัวไม่ใช่คนอย่างอะโอะกิหรอกครับ คนอย่างอะโอะกินั่นที่ไหนก็มี ผมยอมแพ้คนประเภทนี้ไปแล้ว พอเห็นคนแบบนี้ ผมพยายามไม่ข้องเกี่ยวด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กลายเป็นคนประเภทที่เรียกว่ารู้หลบรู้หลีกนั่นแหละครับ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย คนแบบนี้ดูออกง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็พบว่า คนอย่างอะโอะกิก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะ พวกเขามีความสามารถที่หลบซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ รอให้โอกาสมาถึง มีความสามารถที่จะคว่าโอกาสนั้นมาใช้ประโยชน์อย่างเก่งกาจ และมีความสามารถที่จะจูงใจคนและควบคุมได้อย่างแยบยล นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ใครๆก็มีนะ แม้ผมจะเกลียดเรื่องพวกนี้เข้าใส้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสามารถ"
"ที่ผมกลัวจริงๆคือ คนที่เชื่อคำพูดของคนอย่างอะโอะกิทั้งอย่างนั้นโดยไม่พยายามพิจารณาอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ก็เต้นเร่าไปตามน้ำคำของคนที่ฝีปากดี แล้วรวมกันเคลื่อนไหวเป็นหมู่ คนพวกนี้ไม่หยุดคิดแม้เพียงน้อยว่า ตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เป็นคนพวกที่ไม่ฉุกใจคิดเลยว่าตัวเองกำลังทำร้ายใครบางคนอย่างไม่มีความหมาย อย่างร้ายกาจ คนเหล่านี้จะไม่รับผิดชอบต่อผลของการกระทำใดๆของตัวเองทั้งนั้น ที่ผมมกลัวจริงๆ คือ คนพวกนี้ ต่างหาก"
(หน้า 79-80)
ในปัจจุบันขณะที่ Social Sanction กำลังเข้มข้นและรุนแรง เรากำลังเต้นเร่า เหมือนอย่าง คนพวกนี้ อยู่หรือเปล่า?
หรือคำตอบจะเป็น...ความเงียบงัน
*** เรื่องสั้น "The Silence" ของ Haruki Murakami ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณดนัย คงสุวรรณ์ ซึ่งเรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" (Lexington Ghosts) โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่
8 ตุลาคม 2552
นิยายของคุณดวงตะวัน

จุดเริ่มต้นของการอ่านของเราในวัยเด็ก เริ่มต้นมาจากนวนิยายรักที่เรียงรายอยู่ในตู้หนังสือของพี่สาว ทั้งนิยายของ โสภาค สุวรรณ, ทมยันตี, กิ่งฉัตร, แก้วเก้า, ปิยะพร ศักดิ์เกษม, โสภี พรรณราย, ประภัสสร เสวิกุล, โบตั๋น และนักเขียนท่านอื่นๆอีกมากมาย อ่านมันจนหมดตู้ของพี่สาว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสนใจและหลงใหลโลกของการอ่านที่พาเราไปเรียนรู้้นอกเหนือจากสิ่งที่เราเคยรู้ เมื่ออ่านนิยายเหล่านี้มาจนถึงช่วงอายุหนึ่ง อาจเป็นได้ว่ารู้สึกอิ่มตัว และอยากแสวงหาเรื่องราวรูปแบบอื่นๆที่ยังไม่เคยได้สัมผัส จึงทำให้เราลองค่อยๆเปลี่ยนแนวหนังสือที่อ่านไปทีละเล็กทีละน้อยตามความเชื่อมโยงในชีวิตหรือความสนใจใคร่รู้ในช่วงชีวิตตอนนั้น ทำให้ร้างลาการอ่านนิยายรักไปนานทีเดียว และช่วงหนึ่งที่ฉันได้กลับมาอ่านมันใหม่อีกครั้ง กับงานเขียนของคุณดวงตะวัน เรื่อง รุ้งจันทร์ตะวันดาว ที่จะต้องอ่านประกอบการเรียน ทำให้ฉันกลายเป็นแฟนนวนิยายของคุณดวงตะวันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิยายในชุดเมืองสมมติ ธิโมส์ ซึ่ง เริ่มต้นที่เรื่อง รุ้งจันทร์ตะวันดาว ,รักที่ริมทะเลเมฆ, ดอกไม้และสายลม, ปราสาททรายในสายฝน, ผีเสื้อลายตะวัน, บัลลังก์บุหลัน, ณ ที่ดาวพราวพร่างรัก, เอลันตรา และคิดว่าคงยังจะมีผลงานนวนิยายชุดเมืองสมมตินี้ออกมาอีกเรื่อยๆ
สิ่งที่ฉันชอบในนวนิยายของคุณดวงตะวันคือ นอกจากที่มันจะสนุกแล้ว มันยังมีประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง ที่บางครั้งมันช่างคู่ขนานไปกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงสดๆร้อนๆ ราวกับกำลังสะท้อน ล้อเลียน เสียดสี ให้เราคิดตามไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผ่านสิ่งที่เสพง่ายของเนื้อหาในนิยาย และที่ฉันชอบเป็นพิเศษในนวนิยายเมืองสมมติธิโมส์คือ ธิโมส์ของคุณดวงตะวันนั้น ทำให้ฉันนึกภาพประเทศๆหนึ่ง ที่มีประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม อารยธรรม ระบบเศรษฐกิจ ของตนเองอย่างจริงจัง เป็นตุเป็นตะ ซึ่งคุณดวงตะวันสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้อย่างน่าสนใจ และผูกโยงเรื่องราวในแต่ละเล่มได้เข้มข้นสนุกสนาน ทำให้ฉันจมดิ่งกับการอ่านจนลืมเวลาไปซะทุกครั้ง และพระเอกแต่ละคนของคุณดวงตะวันก็แทบจะรวมคุณสมบัติของผู้ชายในฝันของผู้หญิงเอาไว้แทบทั้งหมด ทำให้คนอ่าน (อย่างฉัน) ยอมหลุดออกจากโลกของความเป็นจริงด้วยความยินดี :)
ตอนนี้เพิ่งอ่าน ณ ที่ดาวพราวพร่างรักจบ และกำลังอยากอ่านประวัติศาสตร์ของธิโมส์และตัวละครที่ถูกทิ้งค้างให้สงสัยต่อ ใน เอลันตรา และจะรอคอยติดตามนวนิยายในชุดเมืองสมมตินี้ต่อไปค่ะ
ปล. ขอขอบคุณ นวนิยายในชุดนี้ ที่ช่วยพาหลุดหลีกหนีไปจากภาวะอาการจิตตก คุณช่วยฉันมาหลายครั้งแล้ว รวมทั้งครั้งนี้ด้วย :)
6 ตุลาคม 2552
คาถาปลอบโยนความอ่อนแอ
ขอยกตัวหนังสือของ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล มาทั้งหน้า
ขอพึ่งเป็นคาถาท่องจำ ย้ำเตือนพร่ำสอนตนเอง ในวันที่จิตใจอ่อนแอ อ่อนล้า เพราะความพลัดพราก
จากหนังสือบุตรธิดาแห่งดวงดาว -- เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ทะเลในสายฝน
ในห้วงนึก เธอปรารถนาเป็นหนึ่งเดียว และการแยกไปของใครคนนั้นทิ้งเธอไว้ไม่ครบถ้วน
แต่การจากไปของคนที่เธอรัก ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการจากไปของความรัก
เช่นเดียวกับละอองเมฆที่เดินทางออกจากท้องทะเล มันเป็นเพียงห้วงยามแห่งการเปลี่ยนแปลง
ถ้าในดวงจิตของเธอมีความรัก ความรักจะไม่มีวันหายไปไหน
เพียงแต่บางครั้ง เธอต้องอยู่กับความรักโดยลำพัง
ผ่านแดดเผาลมผ่าน เพื่อกลายเป็นสายฝนฉ่ำสำหรับใครอีกคน
ทะเลส่งเมฆให้ฟากฟ้า
ฟ้ามอบเมฆให้แผ่นดิน
แผ่นดินพาน้ำเมฆกลับทะเล
แล้วผู้ใดเล่าอาจเอ่ยว่านั่นคือการสูญเสียเลวทราม
ตลอดช่วงชีวิตของเราท่าน มีใครบ้างที่ไม่เคยพลัดพราก มีใครบ้างที่ไม่เคยกล่าวคำอำลา
ทว่ามีใครบ้างกี่คนที่จะรู้ว่าการพลัดพรากไม่มีจริง
ใช่หรือไม่ว่า เธอเลือกรู้สึก "พลัดพราก" กับบางคนที่ตัวเองอยากล่่ามร้อย
แต่ชาเฉยกับอีกหลายคนที่ผ่านพบ
ใช่หรือไม่ว่า การพลัดพรากเกิดขึ้น เพราะเธอไม่เคยอนุญาติให้ใครเข้ามาในใจเธอ
มีแต่ตัวเธอที่เฝ้าดูระยะใกล้ไกลของผู้อื่น
ในเมื่อเธอไม่เคยให้ใครเข้ามา
ความจริงย่ิอมไม่มีใครจากไป
เธอเพียงแต่คิดว่าผู้อื่นทิ้งเธอไป
ใจใดที่หวังจองจำใจอื่น...
ย่อมต้องถูกล่ามร้อยด้วยโซ่ตรวนเดียวกัน
ตรงกันข้าม
หากในใจเธอมีผู้อื่น มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจจากไป
ทะเลไม่เคยตามหาเมฆฝนฉันใด
เธอไม่ต้องตามหาความรักฉันนั้น...
เธอคือความรัก และ ความรักคือเธอ
ขอพึ่งเป็นคาถาท่องจำ ย้ำเตือนพร่ำสอนตนเอง ในวันที่จิตใจอ่อนแอ อ่อนล้า เพราะความพลัดพราก
จากหนังสือบุตรธิดาแห่งดวงดาว -- เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ทะเลในสายฝน
ในห้วงนึก เธอปรารถนาเป็นหนึ่งเดียว และการแยกไปของใครคนนั้นทิ้งเธอไว้ไม่ครบถ้วน
แต่การจากไปของคนที่เธอรัก ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการจากไปของความรัก
เช่นเดียวกับละอองเมฆที่เดินทางออกจากท้องทะเล มันเป็นเพียงห้วงยามแห่งการเปลี่ยนแปลง
ถ้าในดวงจิตของเธอมีความรัก ความรักจะไม่มีวันหายไปไหน
เพียงแต่บางครั้ง เธอต้องอยู่กับความรักโดยลำพัง
ผ่านแดดเผาลมผ่าน เพื่อกลายเป็นสายฝนฉ่ำสำหรับใครอีกคน
ทะเลส่งเมฆให้ฟากฟ้า
ฟ้ามอบเมฆให้แผ่นดิน
แผ่นดินพาน้ำเมฆกลับทะเล
แล้วผู้ใดเล่าอาจเอ่ยว่านั่นคือการสูญเสียเลวทราม
ตลอดช่วงชีวิตของเราท่าน มีใครบ้างที่ไม่เคยพลัดพราก มีใครบ้างที่ไม่เคยกล่าวคำอำลา
ทว่ามีใครบ้างกี่คนที่จะรู้ว่าการพลัดพรากไม่มีจริง
ใช่หรือไม่ว่า เธอเลือกรู้สึก "พลัดพราก" กับบางคนที่ตัวเองอยากล่่ามร้อย
แต่ชาเฉยกับอีกหลายคนที่ผ่านพบ
ใช่หรือไม่ว่า การพลัดพรากเกิดขึ้น เพราะเธอไม่เคยอนุญาติให้ใครเข้ามาในใจเธอ
มีแต่ตัวเธอที่เฝ้าดูระยะใกล้ไกลของผู้อื่น
ในเมื่อเธอไม่เคยให้ใครเข้ามา
ความจริงย่ิอมไม่มีใครจากไป
เธอเพียงแต่คิดว่าผู้อื่นทิ้งเธอไป
ใจใดที่หวังจองจำใจอื่น...
ย่อมต้องถูกล่ามร้อยด้วยโซ่ตรวนเดียวกัน
ตรงกันข้าม
หากในใจเธอมีผู้อื่น มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจจากไป
ทะเลไม่เคยตามหาเมฆฝนฉันใด
เธอไม่ต้องตามหาความรักฉันนั้น...
เธอคือความรัก และ ความรักคือเธอ
9 พฤษภาคม 2552
หนังสือ สำหรับคนขี้อิจฉา

"Whatever else it is, Envy is above all a great waste of mental energy."**Joseph Epstein.
"Envy is pain at the good fortune of others."**Aristotle
"Envy is pain at the good fortune of others."**Aristotle
ในบรรดาบาปต้นทั้ง7ประการ ความอิจฉา เป็นบาปที่ไม่สนุกเอาเสียเลย ความอิจฉานั้นมีอยู่หลายระดับตามความเข้มข้นของอารมณ์ และมักจะเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจอย่างแนบเนียน จนบางครั้งเราไม่รู้ตัว หรือ กระดากอายเกินกว่าที่จะยอมรับว่า "เราอิจฉา" ช่างเจ็บปวดเพียงใดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความเลิศล้ำของผู้ที่เราอิจฉา ทำไมถึงไม่เป็นเราบ้าง ทำไม? เป็นการยากที่คนที่กำลังมีความอิจฉาจะตระหนักว่าความอิจฉา คือการวางยาพิษจิตใจตนเอง และมักจะเกี่ยวกับสิ่งที่ ตัวเราขาด หรือมีน้อยกว่าสิ่งที่คนอื่นมี ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับใครเป็นเรื่องเข้าใจง่าย แต่ที่เข้าใจยาก น่ากลัว และเศร้าสลดกว่าคือ การที่คนเราสามารถอิจฉาได้แม้กระทั่งคนที่เรารัก และคนที่รักเรา หรือกำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น
ใครกันหนอที่ใส่ความรู้สึกอิจฉาให้กับมนุษย์?
สำหรับคนขี้อิจฉาอย่างเรา หนังสือเล่มนี้ พาเราไปทำความรู้จักกับอารมณ์ อิจฉา ที่หลายครั้ง เราไม่ชอบ และไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้เอาเสียเลย ความอิจฉาก่อให้เกิดความทุกข์ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และก็ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเรากำลังอิจฉา บางทีการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกนี้ อาจจะช่วยให้จัดการกับมันได้ดีขึ้นก็ได้ อาจจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราหวังว่าจะจัดการ และอยู่กับมันได้
หาอ่านได้นะคะื เขียนได้สนุกเพลิดเพลินดี และคุณจะเข้าใจ บาปชนิดนี้ได้มากขึ้น
มีฉบับแปลภาษาไทย โดยสำนักพิมพ์คบไฟ ชื่อว่า "อิจฉา" อยู่ในชุด สนุกกับบาปต้นเจ็ดประการ
เขียนโดย Joseph Epstein และแปลโดย ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
ใครกันหนอที่ใส่ความรู้สึกอิจฉาให้กับมนุษย์?
สำหรับคนขี้อิจฉาอย่างเรา หนังสือเล่มนี้ พาเราไปทำความรู้จักกับอารมณ์ อิจฉา ที่หลายครั้ง เราไม่ชอบ และไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้เอาเสียเลย ความอิจฉาก่อให้เกิดความทุกข์ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และก็ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเรากำลังอิจฉา บางทีการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกนี้ อาจจะช่วยให้จัดการกับมันได้ดีขึ้นก็ได้ อาจจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราหวังว่าจะจัดการ และอยู่กับมันได้
หาอ่านได้นะคะื เขียนได้สนุกเพลิดเพลินดี และคุณจะเข้าใจ บาปชนิดนี้ได้มากขึ้น
มีฉบับแปลภาษาไทย โดยสำนักพิมพ์คบไฟ ชื่อว่า "อิจฉา" อยู่ในชุด สนุกกับบาปต้นเจ็ดประการ
เขียนโดย Joseph Epstein และแปลโดย ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
7 มกราคม 2552
คำตอบล่องลอยอยู่ในสายลม
How many roads must a man walk down
Before you call him a man
Yes, 'n' how many seas must a white dove sail
Before she sleeps in the sand?
Yes, 'n' how many times must the cannon balls fly
Before they're forever banned?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many times must a man look up
Before he can see the sky?
Yes, 'n' how many ears must one man have
Before he can hear people cry?
Yes, 'n' how many deaths will it take till he knows
That too many people have died?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many years can a mountain exist
Before it's washed to the sea?
Yes, 'n' how many years can some people exist
Before they're allowed to be free?
Yes, 'n' how many times can a man turn his head,
Pretending he just doesn't see?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind
***Blowin' in the Wind : Bob Dylan
คำตอบล่องลองอยู่ในสายลม...
เมื่ออ่านหนังสือเรื่อง "ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางธรรมดาในห้าทวีป" ของคุณ โตมร ศุขปรีชา (อีกแล้ว) จบ หลายบทหลายตอนในหนังสือ ได้ทิ้งคำถามตกค้างไว้ในหัวสมองเราหลายอย่าง และอยู่ๆก็คิดถึงเพลงเพลงนี้ขึ้นมา The answer, my friend, is blowin' in the wind, the answer is blowin' in the wind.
Before you call him a man
Yes, 'n' how many seas must a white dove sail
Before she sleeps in the sand?
Yes, 'n' how many times must the cannon balls fly
Before they're forever banned?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many times must a man look up
Before he can see the sky?
Yes, 'n' how many ears must one man have
Before he can hear people cry?
Yes, 'n' how many deaths will it take till he knows
That too many people have died?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
How many years can a mountain exist
Before it's washed to the sea?
Yes, 'n' how many years can some people exist
Before they're allowed to be free?
Yes, 'n' how many times can a man turn his head,
Pretending he just doesn't see?
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind
***Blowin' in the Wind : Bob Dylan
คำตอบล่องลองอยู่ในสายลม...
เมื่ออ่านหนังสือเรื่อง "ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางธรรมดาในห้าทวีป" ของคุณ โตมร ศุขปรีชา (อีกแล้ว) จบ หลายบทหลายตอนในหนังสือ ได้ทิ้งคำถามตกค้างไว้ในหัวสมองเราหลายอย่าง และอยู่ๆก็คิดถึงเพลงเพลงนี้ขึ้นมา The answer, my friend, is blowin' in the wind, the answer is blowin' in the wind.

4 มกราคม 2552
ญี่ปุ่น จากสายตาไกจิน (คนนอก)

เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยหนังสือดีดีเล่มนี้
เราชอบอ่านวรรณกรรมจากนักเขียนญี่ปุ่น เราชอบดูหนังญี่ปุ่น เราชอบฟังเพลงญี่ปุ่น เราชอบวัฒนธรรมที่แข็งแรงของญี่ปุ่น เราอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น เราชอบอะไรต่างๆนานาจากญี่ปุ่น ทำให้เราอยากเข้าใจความเป็นญี่ปุ่น
หนังสือเล่มนี้ จะพาเราไปรู้จักญี่ปุ่น รู้จักข้างนอก (โอโมเตะ) รู้จักข้างใน(อุระ) ลองมองเข้าไปว่าทำไมอะไรๆ จากญี่ปุ่นถึงช่างน่าทึ่งไปเสียหมด
คุณโตมร เล่าเรื่องราวยากๆ ได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม ราวกับอ่านนิยาย (ที่กำลังตามหาอะไรบางอย่าง) ลึกลับซับซ้อน และระหว่างทาง ก็ทิ้งโน่นนี่ให้เราเก็บมาคิดได้ตลอดเวลา
ข้างนอกข้างในที่ทับซ้อนกันอยู่หลายต่อหลายชั้น ทำให้ประเทศนี้ งดงามและเจ็บปวดไปในเวลาเดียวกัน หลายอย่างทีเดียวที่ทำให้เรากลับมามองความเป็นข้างนอกข้างในของเราเอง ของสังคมของเราของประเทศของเรา ที่ที่เราอยู่ในเวลานี้ โอ้...มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ และเราก็รู้สึกนะ ว่า เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ที่ที่เราอยู่ มันดีขึ้น เราหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
23 ตุลาคม 2551
ยังไม่สายเกินไป แด่หนุ่มสาว...

ถ้าเราได้เลือกทางซึ่งเราเดินไปด้วยตนเอง
ก็ขอให้แน่ใจได้ว่าทางเลือกนั้น
เราได้เลือกอย่างสมศักดิ์ศรีของมนุษย์
จงอย่ากลัวที่จะเลือก
เราไม่สามารถจะประนีประนอมได้อีกต่อไป
เพราะการประนีประนอมจะกลืนกินเราในระยะยาว
จงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส
คิดพิจารณาและตัดสินใจ
และเมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว
จงอย่าลังเลที่จะกบฏและท้าทาย
จงอย่ากลัวที่จะตั้งคำถามทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง
ในระบบสังคมและชีวิตของตนเอง
จงอย่ากลัวเลย ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ
ความกลัวไม่อาจหมดสิ้นลงได้ในทันทีทันใด
เราจะต้องเริ่มเผชิญหน้ากับมัน
เริ่มท้าทายมันทีละเล็กละน้อย
และในที่สุด เราจะขึ้นอยู่เหนือความกลัว
เราย่อมมีความสามารถ
ในการที่จะสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่
ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้แสวงหา
ได้งอกงาม ได้เติบโต
อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
-พจนา จันทรสันติ-
จาก หนังสือ แด่หนุ่มสาว ของ กฤษณมูรติ
ก็ขอให้แน่ใจได้ว่าทางเลือกนั้น
เราได้เลือกอย่างสมศักดิ์ศรีของมนุษย์
จงอย่ากลัวที่จะเลือก
เราไม่สามารถจะประนีประนอมได้อีกต่อไป
เพราะการประนีประนอมจะกลืนกินเราในระยะยาว
จงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส
คิดพิจารณาและตัดสินใจ
และเมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว
จงอย่าลังเลที่จะกบฏและท้าทาย
จงอย่ากลัวที่จะตั้งคำถามทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง
ในระบบสังคมและชีวิตของตนเอง
จงอย่ากลัวเลย ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ
ความกลัวไม่อาจหมดสิ้นลงได้ในทันทีทันใด
เราจะต้องเริ่มเผชิญหน้ากับมัน
เริ่มท้าทายมันทีละเล็กละน้อย
และในที่สุด เราจะขึ้นอยู่เหนือความกลัว
เราย่อมมีความสามารถ
ในการที่จะสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่
ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้แสวงหา
ได้งอกงาม ได้เติบโต
อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
-พจนา จันทรสันติ-
จาก หนังสือ แด่หนุ่มสาว ของ กฤษณมูรติ
เมื่ออ่านคำนำที่ยกมาข้างต้นของหนังสือเล่มนี้เเล้ว ก็ทำให้มั่นใจว่าเรายังไม่ได้ผ่านเลยวัยไปเลยสำหรับหนังสือเรื่อง แด่หนุ่มสาว ของกฤษณมูรติ และก็คิดว่าตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ช่วงเวลาอีกครั้งที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (ใหญ่สำหรับเรา)
สำหรับเราแล้ว ความกลัวมักจะเดินหน้าเข้ามาหาอยู่บ่อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง และเมื่อเจอมันเข้าบ่อยๆ เรื่องราวที่ผ่านมาก็ได้สอนให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น สอนให้เราเปิดใจ ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมเผชิญหน้าด้วยความมั่นใจ เมื่อทำการสำรวจตนเองผ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เรารู้ว่า ความเข้าใจของเรายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก และคงต้องฝึกฝนตนเองอีกมาก แต่ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับมัน ก่อนที่จิตใจจะหลงทางไปมากกว่านี้
ต้องขอขอบคุณแอม และ พี่กอล์ฟที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่านค่ะ
สำหรับเราแล้ว ความกลัวมักจะเดินหน้าเข้ามาหาอยู่บ่อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง และเมื่อเจอมันเข้าบ่อยๆ เรื่องราวที่ผ่านมาก็ได้สอนให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น สอนให้เราเปิดใจ ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมเผชิญหน้าด้วยความมั่นใจ เมื่อทำการสำรวจตนเองผ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เรารู้ว่า ความเข้าใจของเรายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก และคงต้องฝึกฝนตนเองอีกมาก แต่ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับมัน ก่อนที่จิตใจจะหลงทางไปมากกว่านี้
ต้องขอขอบคุณแอม และ พี่กอล์ฟที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่านค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)