31 ธันวาคม 2551

Good Bye (my) Bookstore



แล้วในที่สุด วันสุดท้ายก็มาถึง เราคงจะคิดถึง ช่วงเวลาเช้าๆ ก่อนร้านเปิด ที่เราจะเดินเล่นรอบร้าน ดูว่ามีอะไรออกใหม่ เปิดหนังสือเล่มที่สนใจอ่าน ร้านเงียบๆทำให้รู้สึกเหมือนเป็นห้องสมุดเลย เราชอบเวลานี้ที่สุด คงคิดถึงงานยุ่งๆ ลูกค้าเต็มร้าน คิดถึงหนังสือในหมวดตัวเอง แต่ละเล่ม จัดมากับมือ เห็นกันมาทุกวี่วัน จดจำกันได้ว่าอยู่กันตรงไหน ขายออกก็ดีใจ ขายไม่ออกก็อยู่ด้วยกันไป ทำมาหลายหมวด ก็รักมันทุกหมวดเลย ทุกหมวดมีความท้าทาย มีธรรมชาติที่แตกต่าง ทำให้ต้องการการดูแลที่แตกต่าง เหมือนเป็นเพื่อนกัน ต่อไปคงต้องฝากน้องๆแล้ว แล้วจะแวะไปทักทาย
และก็คงจะคิดถึง เพื่อน พี่ ที่เค้าดีกับเราเสมอมา คงไม่ได้หัวเราะด้วยกันบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ก็คงต้องเป็นไป เพราะต่างคนก็ต่างมีเส้นทางของตัวเอง แต่ไม่เป็นไร เราเดินทาง มิตรภาพเราก็ออกเดินทางเช่นกัน ถือว่ามันเป็นบททดสอบ
3 ปี จะว่านานก็ยาวนาน จะว่าสั้นก็แสนสั้น ที่นี่ก็มีส่วนที่ทำให้เติบโตขึ้น ทั้งจากหน้าที่การงาน ผู้คน และหนังสือในร้าน มันก็ช่วยเปิดโลกใหม่ๆให้เราเรียนรู้ จากนี้ไปก็คงผันตัวจากผู้สั่ง มาเป็นผู้อ่านเฉยๆแล้ว
ขอขอบคุณ ทุกๆคน ทุกเรื่องดี เรื่องร้าย จากที่นี่ ที่ทำให้เข้าใจ และเติบโต Good Bye (my) Bookstore...

20 ธันวาคม 2551

หาทางกลับบ้าน

ฉันหลงทาง
ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เดินสะเปะสะปะไป
หวังพบใคร ที่จะเป็นบ้าน
จนแล้วจนเล่า
ได้แต่พบเพียงเพิงที่พักใคร
ไม่รู้จะไปอยู่ไหน
ไม่เคยพอใจ
ไร้ตำแหน่งแห่งที่ของตน

จนวันหนึ่ง
คนที่รู้จักฉันดี
เอ่ยปากประโยคนี้
โดนความจริงจนน้ำตาไหล
"เธอเอ๋ย...จงอย่าไปไหนไกล
ให้บ้านของเธอคือเรือนใจ
ยืนหยัด อยู่ได้ด้วยตัวเธอเอง"

***ขอบคุณมาก ฉันกำลังจะสร้างบ้าน แล้ววันนึงเมื่อบ้านนั้นเป็นของฉันอย่างแท้จริง หวังว่าคงมีเธอ มาเป็นแขกเยี่ยมเยือนกันเสมอๆ ขอบคุณเพื่อนรัก

18 ธันวาคม 2551

Freezing Memory

เรื่องมันผ่านไปแล้ว
และเวลาก็เดินไปไม่เคยหยุด
เราต่างห่างหาย
เหลือเพียงคำทักทายไกลๆ
เมื่อหวนคิดถึง
เรื่องราวต่างๆยังคงอยู่
ภาพนั้น ความทรงจำนั้น ถูกแช่แข็ง
จนทำให้รู้สึกไปเองเสมอ
ว่าตอนนี้ เขายังคงเหมือนเดิม
ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่เปลี่ยนไป
ยังติดตามเรื่องราวอยู่ไกลๆ
อยู่ที่มุมไหน สักแห่งบนโลกนี้
เพราะอย่างนี้ไง
หัวใจจึงอ่อนไหว
เมื่อความทรงจำเย็นเฉียบ
ต้องพบกับความจริง
ใครกันจะไม่เปลี่ยน...
ฉันเองก็เปลี่ยน
เราต่างเดินทางมาไกล
ห้วงเวลานั้นมันผ่านไป
ผ่านไป เปลี่ยนไป
และไม่ย้อนคืน


11 ธันวาคม 2551

Dear...ตะวันฉาย

Dear ตะวันฉาย...

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ฉันเองก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ ชีวิตประจำวัน เลยไม่มีโอกาสมารอพบ ทักทายกับเธอ แต่สามวันที่ผ่านมานี้ ฉันตั้งใจมากๆเลย ที่จะมารอทักทายเธอ รอรับรอยยิ้ม และพลังชีวิตจากเธอ คิดถึงเธอจัง...





ปล. ฉันยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้พบเธอ การได้มองเห็นเธอบนภูทับเบิก และบนทุ่งแสลงหลวง ทำให้ฉันมีเรี่ยวแรงกลับมาเผชิญหน้ากับวันพรุ่งนี้ ขอบคุณนะ แล้วเราจะมาพบกันใหม่ ในอีกไม่ช้า...

คิดถึงจริงๆ
กระต่ายบนดวงจันทร์เสี้ยว

7 ธันวาคม 2551

Tokyo Sonata...เมื่อชีวิตมันบัดซบ



ไม่มีพื้นที่สำหรับผู้แพ้...
ใครจะรู้ ว่าความพ่ายแพ้จะวิ่งเข้ามาจู่โจมเราวันไหน
Tokyo Sonata หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดความเย็นชา เจ็บปวด สลดหดหู่ของคนในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว
ระเบียบอันเคร่งครัด การแข็งขันที่ไร้ความปราณี ชาย หรือ หญิง เด็ก หรือ ผู้ใหญ่ แบกรับความแห้งแล้งนี้ไว้ไม่ต่างกัน ทุกตัวละคร พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย
แต่จะทำอย่างไร เมื่อชีวิตมันพามาไกลถึงเพียงนี้ เราจะเริ่มต้นใหม่กับมันได้ไหม อย่างไร

เราชอบคำพูดของตัวละครแม่ในเรื่อง ที่ว่า
ไม่มีใครสามารถเป็นเราได้ เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อมั่นในความเป็นเรา
(ใจความประมาณนี้ แต่จำไม่ได้ทั้งหมด)

แม้ว่าเรื่องราวที่เจอจะเลวร้ายมากมายขนาดไหน เมื่อมันเกิดขึ้น แล้วมันก็จะผ่านไป เหมือนนอนหลับไปยาวนานแสนนาน แล้วตื่นมาเจอแสงจ้าในตอนเช้า
กลับมาเริ่มใหม่ กลับมามีชีวิตกันอีกครั้ง...


Tokyo Sonata ผลงานล่าสุดของ คิโยชิ คุโรซาวะ เป็นหนังที่ดีมากๆเลยค่ะ ถ้าใครชอบหนังหนักๆหน่อยคงจะชอบหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าสภาพจิตใจไม่พร้อมก็ขอเตือนไว้หน่อย เพราะเรื่องราวมันช่างบีบเค้น ทำเอาสมองตึงเครียดได้เลยค่ะ
ไปหาดูกันได้ที่ โรงหนังสยาม และ House นะคะ แนะนำ แนะนำ

5 ธันวาคม 2551

Little Miss Sunshine... Thanks for the imperfect





Little Miss Sunshine

การเดินทาง และเรียนรู้กันและกัน ด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ
ครอบครัวในหนังเรื่องนี้ไม่สมบูรณ์แบบ
ครอบครัวของฉันก็ไม่สมบูรณ์แบบ
และเราเชื่อว่า ไม่มีครอบครัวของใครสมบูรณ์แบบ
มีแต่คนพยายามยัดเยียด ใส่ความสมบูรณ์แบบให้มัน

ใครมีความสุขดีในครอบครัว เราก็ยินดีด้วยจริงๆ
แต่ถ้าหากบางครั้ง มันออกจะเป็นที่อยู่รวมกันของความผิดเพี้ยน เว้าแหว่งของแต่ละคน
ก็จงเรียนรู้จากเรื่องราวเหล่านั้น เราเชื่อว่ามันซ่อมแซมเยียวยากันและกันได้
บนพื้นฐานของความรัก แม้ว่าผลจะออกมาเป็นส่วนผสมประหลาดๆ
เหมือนครอบครัวของหนูน้อยโอลีฟในหนังก็ตาม
เราก็อยู่กันไปตามประสานั่นแหละ ไม่เห็นต้องอยู่กันอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบเลย
ขอให้เชื่อมั่น ครอบครัวเราน่ะ เยี่ยมไปเลย แม้ว่าจะมีโน่นนี่นั่นมากมายก็ตาม...


23 พฤศจิกายน 2551

หลุมหลบภัย



ได้ดูหนังหลายเรื่องที่มีฉาก ฐานทัพลับ หรือที่สถานที่พิเศษของตัวละคร อย่างใน Twenty Century Boy หรือ Into the Faraway Sky ก็ทำให้นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก และ ตัวเองในวัยนี้ ที่ยังคงต้องการ ฐานทัพลับ แต่โดยส่วนตัวเราขอเรียกมันว่า หลุมหลบภัย
หลุมหลบภัย... เป็นจินตนาการตั้งแต่วัยเด็ก ตอนเด็กๆ เราเคยคิดว่าอยากมีที่สักที่นึง เป็นที่ลับๆของเรา ตอนเด็กก็มักจะจินตนาการเรื่อยเปื่อย ว่ามันจะต้องเป็นทางลับๆที่เหมือนเส้นผมบังตา มุดไปใต้ดิน ไปโผล่ที่ที่เป็นทุ่งหญ้า หรือว่าเป็นบ้านบนต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง ในนั้นจะมีของที่เราชอบๆอยู่ที่นั่น เวลาไม่สบายใจ ทะเลาะกับใคร ก็สามารถวิ่งมาหลบอยู่ที่นี่คนเดียวได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครหาเจอ อาจจะยอมให้เพื่อนสักสองสามคนที่รู้ และมาเล่นกันได้บ้าง ตอนที่คิดฝันเรื่องนี้เป็นตอนที่เรายังเด็กมากเลย แต่่ก็ไม่รู้ทำไมถึงยังจำมันได้ชัดเจนนัก
พอโตขึ้นมา ก็เกือบจะลืมๆเรื่องเหล่านี้ไปแล้วเหมือนกัน แต่ในช่วงเวลาที่เจ็บปวด และต้องอดทน หลายครั้งเราก็มักคิดย้อนกลับไปถึง หลุมหลบภัยในอดีต อาจจะต่างกันตรงที่ ตอนนี้ เราต้องการหลุมหลบภัยทางใจ... คงไม่ต้องเป็นที่แปลกประหลาดพิศดารเหมือนที่เคยคิดไว้ ขอแค่ที่ที่ี่เราสามารถหลบไปอยู่เงียบๆ อยู่แล้วสบายใจ มีคนที่เข้าใจ เท่านั้นก็พอ
กำลังแสวงหา หลุมหลบภัยอยู่ ใครรู้ก็ช่วยแนะนำด้วย...

12 พฤศจิกายน 2551

หอมกลิ่นลมหนาว

Winter comes...
The moon is so shinny,
bright like someone eyes.
The sky is so clear,
deep and dark without the star.
I can smell the sweet of the wind,
the unique sense once in a year.
I breath in as much as I can
Such a wonderful night.
Shall we take a walk?

คืนที่ฟ้าไร้ดาว เราไปเดินเล่นกันไหม?

7 พฤศจิกายน 2551

สิ่งที่เคลื่อนไหว

บนถนนที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านฝูงชนขวักไขว่ไปอย่างเงียบๆ
ลงบันไดเลื่อนสู่อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน
บันไดค่อยๆเลื่อนอย่างเชื่องช้าดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
ได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองกระทบพื้นเป็นจังหวะ
เสียงดังสลับปะปนกับเสียงเครื่องปรับอากาศ
เหมือนจะเงียบ แต่ไม่เงียบ
ประตูบานเลื่อนปิดลง
หญิงสาวมองเงาตัวเองในกระจกฝั่งตรงข้าม
ภาพสีดำเคลื่อนผ่านบานกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า
สถานีเแล้ว สถานีเล่า
ยาวนาน ราวกับ รถไฟขบวนนี้ จะไม่มีวันสิ้นสุด
ขบวนรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
การพุ่งทะยานของมันได้กระชากเอาอะไรบางอย่างของเธอไป
มันปลิดปลิว ล่องลอย ซวนเซ หาทางกลับมาไม่ได้
เหลือทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้การเคลื่อนไหว
มีเพียงสิ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนที่
มันคือหยดน้ำเล็กๆ ที่ไหลออกมาจากขอบตา

6 พฤศจิกายน 2551

Trying to look good limits my life.

Trying to look good limits my life,
Trying to be good limits my life as well
บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่า นี่เรื่องนี้เราดีจริงๆ หรือเราแค่พยายามเป็นคนดี
สิ่งที่ถูกหลอมรวมเป็นความเคยชิน ทำให้สับสน ไม่แน่ใจ
ว่าสิ่งที่ทำอยู่ออกมาจากข้างใน หรือกรอบทางสังคมรอบตัว สั่งให้ทำ...


*ไปพบประโยค "Trying to look good limits my life" จากหนังสือ "Design Culture" โดยประโยคนี้เป็นผลงานในชุด "20 Things I have learned in my life so far" ของ สเตฟาน แซกมายสเตอร์ กราฟิกดีไซเนอร์ชื่อดัง*

เมื่อได้อ่านประโยคนี้แล้วก็รู้สึกอะไรก็ไม่รู้อย่างแรง
และเกิดสงสัยขึ้นมา Is good really good?





1 พฤศจิกายน 2551

Decision Making

"ก็อย่างนี้แหละ ชีวิตมีเรื่องเข้ามาให้เราตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา" เพื่อนของเราคนหนึ่งกล่าวไว้ เมื่อได้ยินเราบ่นๆๆๆๆ ว่า ไม่ชอบเลย เวลาต้องตัดสินใจว่า จะไปหรือไม่ไป และจะเลือกไปอันไหน ในสถานการณ์ที่มีเรื่องจำเป็นต้องทำต้องไป ทั้ง2อย่าง เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ที่จริงโดยปกติ เราก็จะใช้ความรู้สึก ตัดสินได้ไม่ยาก ถ้าไม่อยากไป ก็ไม่ไป แต่บางครั้ง มันก็มีเรื่องความรู้สึกผิด ความรู้สึกไม่สบายใจ กังวลต่างๆนานา หากจะต้องปฏิเสธ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก เลือกทางทีี่คิดว่าน่าจะดีที่สุด

คุณชอบให้ชีวิตมีทางให้เลือกมากมาย หรือ อยากให้มีแค่ทางเลือกเดียวให้คุณเลือก ??
ทางเดียวก็อาจจะดูง่ายดี ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องตัดสินใจอะไรมากมาย แต่ทว่า ดีจริงหรือ?
หลายทางเลือก ก็ย่อมมาพร้อมกับความว้าวุ่นกังวลใจ คิดคำณวนวุ่นวาย ว่าสิ่งไหนดีที่สุด และถ้าพลาดสิ่งนี้ แล้วจะยังได้สิ่งนั้นไหม แล้วมันจะดีไหม แต่ก็ดีที่มีทางให้เลือก ใช่ไหม?

สำหรับเรา เราคิดว่า การได้เลือกอะไรด้วยตนเอง ตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง เป็นการค่อยๆขัดเกลา ฝึกฝน ให้เราแข็งแรงขึ้น หากเมื่อเวลาผ่านไป แล้วพบว่าสิ่งที่เราเลือกมันมาถูกทางแล้ว มันจะยิ่งทำให้เรา มีความสุข และภาคภูมิใจ หรือหากในทางกลับกัน พบว่าที่ผ่านมานั้นเลือกผิด เมื่อเลือกมันด้วยตัวเอง ก็ต้องรับผลของมันด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปโทษใคร และอย่างน้อยก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างว่า ทางนี้มันไม่ใช่ และวันหลังก็จะได้ไม่ต้องเลือกมันอีก เราไม่เชื่อว่าจะไม่ได้อะไร หรือ ไร้ประโยชน์ กับเรื่องราวทุกๆเรื่องราวที่เกิดขึ้น (อย่างปกติ และไม่ปกติ) ในชีวิตของเรา

อาจจะลำบากหน่อย กังวลบ้าง แต่เราก็ยังคงอยากที่จะมีทางเลือกอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ก็จงเตรียมพร้อมไว้ ที่จะต้องเลือกๆๆๆๆ ตัดสินใจๆๆๆๆๆ กับอะไรมากมายที่รอเราอยู่ภายหน้า

และต้อง ขอโทษด้วยนะค้า สำหรับสิ่งที่ไม่ได้เลือก ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ (บางอย่างก็อาจไม่ค่อยดีเท่าไหร่!!) แต่มันอาจยังไม่ใช่สิ่งที่พอดีในเวลานั้น...

26 ตุลาคม 2551

เรื่อง ฝนๆ

ช่วงนี้ฝนฟ้าคะนอง ฝนตกชุ่มฉ่ำ ให้รำคาญใจอยู่ทุกวัน เพราะเราไม่ชอบเลย เวลาที่รองเท้าเปียกเฉอะแฉะ ขากางเกงฉ่ำน้ำ ผมเปียกลู่ไม่เป็นทรง แถมถ้าขึ้นรถเมล์แดงหน้าต่างทุกบานจะต้องปิดกันละอองฝน ร้อนอบอ้าว หายใจไม่ออก ทรมานเป็นที่สุด กระนั้นได้ขึ้นรถเมล์แอร์ก็ต้องทรมานกับความหนาวสั่น กับแอร์ที่หนาวเกิ๊น บวกกับความเปียกชื้นของร่างกายเมื่อโดนฝน ไม่มีความพอดิบพอดีเลยสักอย่าง ดีที่สุดเวลาฝนตกคือ นอนฟังเสียงฝนอยู่กับบ้าน บ้านเก่าก็จะได้นอนขี้เกียจสบายฟังเสียงฝน ถ้าบ้านที่อยู่ตอนนี้ ก็อาจหงุดหงิดมากกว่าเดิมที่จะไม่ได้ฟังเสียงฝนกระทบหลังคาเพียวๆ แต่ต้องมาฟังเสียงฝนปนเสียงล้อรถ ที่แล่นผ่านถนนเจิ่งน้ำด้วยความเร็วสูง (บ้านอยู่ติดถนนใหญ่น่ะ) ไม่ไพเราะเอาเสียเลย ฟังไปก็เสียวแทนคนที่เดินอยู่ริมถนนว่า มันต้องโดนรถ สแปรด (มาจากลักษณะเครื่องเล่นซูเปอร์สแปรดที่ดรีมเวิร์ล) ใส่เข้าแน่ๆ
ที่ร่ายยาวเรื่องฟ้าฝน เพราะว่าเมื่อวาน ยืนติดฝนอย่างไม่มีทางเลือก อยู่ที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งย่านบางลำภู เรามาถึงก่อนเวลาที่ร้านจะเปิด เลยต้องรอหน้าร้าน ฝนตกหนักมาก เป็นฝนปนกับลมที่พัดกระจายไร้ทิศทาง มีร่มกำบังความกว้างเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น ทำให้เราต้องจัดระเบียบร่างกายให้ยืนตัวลีบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เหมือนกับว่าตอนนั้นชีวิตช่างไร้ทางเลือก ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนมองลมฝนที่อยู่ตรงหน้า เลยได้โอกาสพิจารณาถึง สายฝน และ สถานการณ์ ที่ชีวิตคนเราอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่ได้อย่างใจ ควบคุมได้ทุกอย่าง เมื่อมันเกิดขึ้น และไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า ทางที่ดีที่สุดคือ การมองมันในมุมมองอื่นๆ ในตอนนั้น เราก็เลยปล่อยใจรับละอองฝนที่กระเด็นเข้ามา มันก็เย็นชุ่มฉ่ำดี ตัวเปียกได้ มันก็แห้งได้ มองดูลมพัดละอองฝนปลิวกันวุ่นวายก็เป็นความสวยงามอีกแบบ สีท้องฟ้ายามปล่อยน้ำฝนก็เป็นสีโทนประหลาดดี และพลันเกิดความรู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แถมยังได้มีบทสนทนาระลึกถึงความหลังกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า ครั้งหนึ่ง เราก็เคยติดฝนทำอะไรไม่ได้ แบบนี้ที่เกาะเต่า ตอนนั้นน่ะเรากังวลใจมากเลย เพิ่งจะมาถึง สัมภาระก็มากมาย ที่พักก็ยังไม่มี ฝนก็เทกระจาย แต่พอได้นั่งคุยเรื่อยเปื่อยเพื่อรอฝนหยุด มันกลับเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจดี เหมือนกับเราได้ข้ามผ่านความกังวลใจไปด้วยความใจเย็นขึ้น และยังระลึกถึงช่วงเวลานั่งติดฝน ที่ปั๊มน้ำมันเก่าๆบนเกาะเต่าอยู่บ่อยๆ ประสบการณ์ฝนที่เราประทับใจยังมีอีกครั้งหนึ่งที่กระบี่ เราวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักมากเพื่อกลับที่พัก แต่ด้วยความที่เพิ่งเล่นน้ำทะเลมาสักพัก ตัวยังหมาดๆ แถมไม่มีสมบัติอะไรให้เป็นห่วง เลยคิดในใจ เราวิ่งหนีฝนทำไมวะ ? เลยเปลี่ยนมาวิ่งเล่นน้ำฝนแทน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆเลยล่ะ สนุก ปลอดโปร่ง โลดแล่น เหมือนกับว่า เราไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจอีกต่อไป แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมานัก เพราะเพื่อนวิ่งหน้าตื่นกอดกล้องถ่ายรูปแนบอกอยู่ข้างๆ เลยแอบกรี้ดลิงโลดวิ่งเล่นน้ำฝนอยู่เงียบๆกับพี่อีกคนหนึ่ง ที่มองแล้วรู้เลยว่าคิดเหมือนกันอยู่ แปลกดีเหมือนกันที่เกิดมาตั้งนาน ไม่เคยเล่นน้ำฝนกะเค้า มัวแต่วิ่งหลบมันอยู่เรื่อย แถมโดยอุปนิสัยส่วนตัว เพื่อนๆก็ชอบหาว่า เป็นพวกเจ้าสาวกลัวฝนอีกต่างหาก การวิ่งเล่นน้ำฝนวันนั้น ทำให้เราประกาศก้องอยู่ในใจ ว่า "ชั้นไม่ได้กลัวย่ะ และ ชั้นไม่กลัวแล้วย่ะ" แฮ่ๆ
ร่ายมาซะยืดยาว เวลาฝนตก จิตใจก็คิดโน่นนี่ กระเจิดกระเจิงได้ง่ายเป็นพิเศษ แต่เราก็คงไม่ได้อ้าแขนรับการมาของสายฝนได้ทุกครั้งหรอกนะ คงต้องกางร่มกันบ้าง แต่ประสบการณ์ฝนต่างๆที่เล่ามา มันก็ช่วยทำให้เรา กังวลกับมันน้อยลง สงบมากขึ้น และจัดการกับสภาวะที่เหมือนจะไร้ทางเลือกได้ดีขึ้นด้วย
สำหรับเมื่อวาน ฝนยังช่วยเพิ่มความหิวโหยของกระเพาะ และอาหารญี่ปุ่นมื้อนั้นที่รอคอย ก็อร่อยสมใจเป็นพิเศษ...

เพื่อนเราบอกว่า มันเป็นฝนสั่งลา และลมหนาวกำลังจะมา...

23 ตุลาคม 2551

ยังไม่สายเกินไป แด่หนุ่มสาว...



ถ้าเราได้เลือกทางซึ่งเราเดินไปด้วยตนเอง
ก็ขอให้แน่ใจได้ว่าทางเลือกนั้น
เราได้เลือกอย่างสมศักดิ์ศรีของมนุษย์
จงอย่ากลัวที่จะเลือก
เราไม่สามารถจะประนีประนอมได้อีกต่อไป
เพราะการประนีประนอมจะกลืนกินเราในระยะยาว
จงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส
คิดพิจารณาและตัดสินใจ
และเมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว
จงอย่าลังเลที่จะกบฏและท้าทาย
จงอย่ากลัวที่จะตั้งคำถามทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง
ในระบบสังคมและชีวิตของตนเอง
จงอย่ากลัวเลย ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ
ความกลัวไม่อาจหมดสิ้นลงได้ในทันทีทันใด
เราจะต้องเริ่มเผชิญหน้ากับมัน
เริ่มท้าทายมันทีละเล็กละน้อย
และในที่สุด เราจะขึ้นอยู่เหนือความกลัว
เราย่อมมีความสามารถ
ในการที่จะสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่
ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้แสวงหา
ได้งอกงาม ได้เติบโต
อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


-พจนา จันทรสันติ-
จาก หนังสือ แด่หนุ่มสาว ของ กฤษณมูรติ

เมื่ออ่านคำนำที่ยกมาข้างต้นของหนังสือเล่มนี้เเล้ว ก็ทำให้มั่นใจว่าเรายังไม่ได้ผ่านเลยวัยไปเลยสำหรับหนังสือเรื่อง แด่หนุ่มสาว ของกฤษณมูรติ และก็คิดว่าตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ช่วงเวลาอีกครั้งที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (ใหญ่สำหรับเรา)
สำหรับเราแล้ว ความกลัวมักจะเดินหน้าเข้ามาหาอยู่บ่อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง และเมื่อเจอมันเข้าบ่อยๆ เรื่องราวที่ผ่านมาก็ได้สอนให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น สอนให้เราเปิดใจ ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมเผชิญหน้าด้วยความมั่นใจ เมื่อทำการสำรวจตนเองผ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เรารู้ว่า ความเข้าใจของเรายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก และคงต้องฝึกฝนตนเองอีกมาก แต่ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับมัน ก่อนที่จิตใจจะหลงทางไปมากกว่านี้
ต้องขอขอบคุณแอม และ พี่กอล์ฟที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่านค่ะ

19 ตุลาคม 2551

ปล่อยมันไป...

เป็นเพราะเรา เป็นเพราะเรามากกว่า
เป็นเพราะใจ เป็นเพราะใจเราอ่อน
อ่อนแออยู่เสมอ เพียงพบคนถูกใจ
เก็บมาใส่ดวงใจฉันไว้ ฝันลมๆมากมาย

แล้วเป็นไง พอหัวใจต้องเจ็บ
เขาคนดี มีแล้วมีคนอื่น
เจ็บใจอยู่อย่างนั้น เพียงพบความผิดหวัง
ได้แต่ปลอบ ปลอบใจตัวเอง
หวังอะไรมากมายนะใจ

เป็นเพราะใจเราอ่อน
อยากทำหัวใจขึ้นใหม่
อยากตกแต่งดวงใจเล็กๆ
ให้แข็งแรงพอจะทนไหว

พอแล้วพอ พอฉันพอดีกว่า
คิดไปเอง ทำให้ใจต้องเจ็บ
สุขเพียงสุขเล็กน้อย ยามพบคนถูกใจ
แต่พอเจ็บ มันเจ็บเกินใคร
เป็นเพราะใจเราบางเหลือเกิน

*เพลง ใจบางๆ*

เพลงนี้ดูจะเป็นเพลงที่ตรงที่สุดแล้ว... อาจไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายอะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่า ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย แค่อยากเขียนอะไรบางอย่างสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ขอลาจาก สำหรับความสัมพันธ์ที่พร่าเลือน ความสัมพันธ์ที่คิดไปเอง
ขอลบทิ้ง สำหรับร่องรอย ข้อความ คำพูด ที่เคยทิ้งไว้ (คุณไม่ควรทิ้งไว้ ถ้าคุณรับผิดชอบมันไม่ไหว)
เมื่อคุณไม่ยอมรับ ด้วยการบอกว่า มันไม่มีอะไร คุณก็ไม่มีสิทธ์ที่จะได้รับรู้ความรู้สึกของฉัน
ชัดเจนแล้ว กับคำถามที่สงสัยมาตลอด ว่า ฉันอยู่ตรงไหน
และจะรับไว้สำหรับคำขอโทษ

10 ตุลาคม 2551

มีดอกไม้มาฝาก



วาดดอกไม้เอาไว้
อยากอวดให้ใครๆเห็น
วาดไปฟังเพลงไปอย่างใจเย็น
ภาพเลยออกมาเป็นเช่นนี้แล
มีดอกไม้มาฝาก
เก็บมาจากปลายพู่กันอันเก่าๆ
วาดแล้วอยากให้เห็นผลงานเรา
ชอบหรือเปล่า? เห็นอย่างไร?
ช่วยบอกมา



4 ตุลาคม 2551

เราต่างกำลังเต้นรำ...

Life's a dance, we all have to do
But why does the music quiet?
People are moving together
Close as the flames in a fire

Feel the beat; music and rhyme
While there is time.

We all go 'round and 'round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All I know is,
We're all in the dance

Night and Day, the music plays on
We are all part of the show
While we can hold on to someone
Even though life won't let us go

Feel the beat; music and rhyme
While there is time.

We all go round and round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All I know is,
We're all in the dance

We're all in the dance

We all go round and round
Partners are lost and found
Looking for one more chance
All we know is,
We're all in the dance

**We're All in a Dance by Feist**

เราต่างล้วนอยู่บนฟลอเต้นรำ... เรามักจะนึกถึงเพลงนี้อยู่เสมอ เวลานั่งรถเมล์กลับบ้านตอนดึกๆ เวลามองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา แสงสีส้มๆของไฟข้างถนนยามค่ำคืน เวลามองมันผ่านขอบหน้าต่างรถเมล์แล้ว มันให้ความรู้สึกเงียบเหงา โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า ช่วงเวลาที่เรานั่งรถเมล์ มักจะเป็นเวลาที่เราได้ปล่อยอารมณ์ ความคิดให้ล่องลอยไป บางทีก็คิดอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน บางทีความคิดก็ฟุ้งกระจายจับต้นชนปลายไม่ถูก บางทีก็นั่งทบทวนว่าวันนี้ได้พบเจออะไรมาบ้าง พบใคร ทำอะไร

We all go round and round
Partners are lost and found

เรากำลังเต้นรำ อยู่ในบทเพลงชีวิต ได้พบปะผู้คน และลาจาก
บางคน ก็เป็นการพบกันสั้นๆ มีความทรงจำช่วงหนึ่งร่วมกัน แล้วจากลา
บางคนอยู่กับเรานาน จนทำให้เราหลงลืม และคิดว่า เขาจะอยู่กับเราตลอดไป
แต่คนเรา ยังไงก็ต้องจากกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...
นี่คงเป็นเรื่องธรรมดาโลก
นอกจากจะพยายาม ดูแลรักษาผู้คนที่ผ่านพบให้ดีแล้ว คงต้องบอกตัวเอง ให้เข้มแข็ง เพื่อเตรียมรับการจากลา ในวันใดวันหนึ่ง






30 กันยายน 2551

คิดถึง...กลอนบทเก่า

เปิดสมุดบันทึกเก่าๆ อ่านเรื่องราวที่เคยพรั่งพรู เขียนบรรยายความยืดยาว มีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ เศร้าอย่างนั้นอย่างนี้ เหงาอย่างนั้นอย่างนี้ อ่านแล้วก็ทำให้เห็นภาพ พร่าบ้าง ชัดบ้าง จากเรื่องราวในอดีต
และก็เปิดไปเจอกลอนบทโปรด ที่ชอบมากๆ จนจำได้ขึ้นใจ จดบันทึกเอาไว้นานมาแล้ว ด้วยความที่มีเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาในชีวิต วุ่นวายอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน เลยเกือบจะลืมมันไป ปัดฝุ่น ออกเบาๆ อ่านมันซ้ำอีกครั้ง ก็พบว่า มันยังคงสะท้อนเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี รวมถึง ทับซ้อนเรื่องราวในปัจจุบันไปด้วยพร้อมๆกัน...

คิดถึง แต่ไม่มาก
เบื่อๆ อยากๆ เป็นพักๆ

คร้านเกินจะเรียนรู้
ให้มากไปกว่าที่รู้จัก

ห่วงใยอยู่ห่างๆ
เพราะช่องว่าง ยังกว้างนัก

ใจเอย ยังโลดแล่น
ไม่หนักแน่นพอ จะปักหลัก

ไม่คาดหวัง แต่จริงใจ
ไม่เป็นไร ถ้าไม่รัก

เสียดาย อาจจะเสียดาย
แต่คงไม่ถึงกับอกหัก

ลังเล เลือนลาง
มิตรภาพ เคว้งคว้าง

อยู่แค่ครึ่งทาง
ของความรัก...

**โดย เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย**

28 กันยายน 2551

The Fall

สุดสัปดาห์ ไปดูหนังมา เรื่อง The Fall รอคอยหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ได้เห็นโปสเตอร์หนัง ที่ติดไว้หน้าโรงหนังสยาม เพราะเห็นแล้วนึกถึงภาพวาดของ Dali และในตัวหน้าหนังก็ไม่ได้บอกอะไรไว้เลยว่า เป็นหนังอะไรยังไง แบบไหน แต่ที่มั่นใจมากคือ หนังเรื่องนี้ภาพมันต้องสวยมากแน่ๆ เราชอบนักแลที่จะดูหนัง(บางเรื่อง) โดยที่ไม่รู้อะไรมาก่อนเลย ตื่นเต้นดี
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ภาพสวยกว่าที่เราคาดหวังไว้เสียอีก นอกจากเรื่องภาพที่สุดยอดแล้ว สิ่งที่พูดถึงในเรื่องก็ดีมากๆด้วย ไปหาอ่าน เรื่องย่อ และ บทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้จาก นิตยสารBioscope ฉบับล่าสุดได้ นะจ๊ะ ผู้กำกับคนนี้ ทาร์เซ็ม ซิงห์ น่าสนใจทีเดียว ยังไม่เคยดูเรื่อง The Cell เลย เห็นทีต้องไปหามาดูซะแล้ว สำหรับ The Fall เรื่องนี้ดูยากเหมือนกัน แต่ไม่มากนะ แต่อาจจะต้องคิดตามเร็วนิดนึง นี่ก็ยังอยากไปดูซ้ำอีกรอบเลยนะเนี่ย แต่ถ้าใครชอบภาพแบบ surreal น่าจะชอบหนังเรื่องนี้เลยล่ะ นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่รู้สึกดีมากๆที่ได้ดู เราชอบมากเลยล่ะ เลยอยากบอกต่อ ลองไปดูกันนะ ถ้ามีโอกาส

25 กันยายน 2551

Fail Better...

Ever Tired ?
Ever Failed ?
No Matter.
Try Again.
Fail Again.
Fail Better.
-Samuel Beckett-

21 กันยายน 2551

นานๆที แต่ก็ประทับใจ กับละคร "ฝากหัวใจไว้ที่อุบล"


เมื่อวานได้มีโอกาสไปดูละครกับเพื่อนๆมา โดยปกติเราไม่ค่อยได้ดูละครเท่าไหร่ ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่พลาดไป พลาดมา และบางที ก็ดันจัดลำดับความสำคัญของมันไว้ทีหลังการดูหนังนั่งคุยทุกที ก็เลยได้ดูไม่มากนัก แต่ก็จะมีเพื่อนเราคนหนึ่งที่หมั่นชวน และมักจะแนะนำละครที่ดีๆให้เราลองอะไรใหม่ๆทางด้านนี้เสมอ และล่าสุด เขาก็พาเราไปดู ละครเรื่อง "ฝากหัวใจไว้ที่อุบล" กำกับโดย นพพันธ์ บุญใหญ่ จัดแสดงอยู่ที่ พระจันทร์เสี้ยวการละคร สถาบันปรีดีพนมยงค์ สำหรับคนที่ดูละครไม่มากอย่างเรา ละครเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกสนุกมาก ชอบมากๆ และระหว่างทางก็ทำให้เราคิดถึง หวนระลึกถึงอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ การเรียนรู้ค้นหาตนเองของเด็กชายคนหนึ่ง ชื่อว่าแดง ที่กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ โดยเกิดเหตุการณ์ที่อยู่ๆ แม่ของเขาก็หายตัวไปจากชีวิตเขา ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้าย ที่บอกกับพ่อของเขาว่า "พาแดงไปทำฟันด้วยนะ" และพ่อของเขาก็ส่งเขาไปอยู่กับญาติที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทีชื่อว่า น้าเปิ้ล ที่จังหวัดอุบล และที่นี่เองที่ทำให้แดน รู้จักและเข้าใจ เรื่องราวของความรักในมุมมองนอกเหนือจากที่ตนเคยรับรู้เข้าใจ
ตลอดเวลาที่นั่งดูละครเรื่องนี้อยู่ เขาเล่าเรื่องราวกับเรากำลังดูหนัง coming of age เท่่ห์ๆอยู่ซักเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องน่ารักมาก ตัวละครมีบุคลิกแปลกๆ พิสดารหน่อยๆ แต่คนเราก็มักมีความแปลก ความเพี้ยนแบบนี้ซ่อนอยู่กันทุกคนมิใช่หรืู่อ ดูไปก็นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะ ไปกับมุขตลกน่ารักๆที่มีอยู่อย่างพอดิบพอดีตลอดทั้งเรื่อง ทุกตัวละครเล่นดีมากๆ โดยเฉพาะ น้าเปิ้ล (แสดงโดย คุณ ปานรัตน กริชชาญชัย) เล่นได้ทุ่มทุนสร้างมาก ดูไปดูมากก็จะรู้สึกชอบตัวละครทุกๆตัว ดูแล้วมีความสุข และ มีความหวัง แม้ชีวิตมันจะเศร้าก็เถอะ
รายละเอียดบางอย่างของละครเรื่องนี้ ทำให้เราหวนนึกถึง ชีวิตตอนเป็นเด็กๆ บทเพลงฝรั่งเก่าๆ ชีวิตง่ายๆสบายๆของเรา ในตอนที่ยังเป็นเด็ก คิดถึงบ้านเก่า คิดถึงแก๊งเพื่อนบ้านที่เคยเล่นซนกันมา คิดถึงเวลาแม่พาไปไหนต่อไหนตอนเด็กๆ คิดถึงจินตนาการของตัวเองที่เคยแต่งเรื่องเอง แล้วให้ตัวเองรับบทเด่น คิดเองเล่นเอง ว่างั้น... ที่คิดๆมา เกี่ยวกันกับละครรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่มันก็พาเรากลับไปหวนระลึกถึง Good Old Dayน่ะ เติบโตมาได้จนถึงตอนนี้เนอะ ก็ต้องเติบโตกันต่อไป และมันยังคงยากอยู่เสมอ ในการที่จะเข้าใจตนเอง และเข้าใจคนอื่น... แต่มันก็น่าจะเข้าใจได้ในสักวันนะ

19 กันยายน 2551

วันนี้ไม่ใช่วันของเรา

วันนี้ไม่ใช่วันของเรา...
ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานี้ วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากเลย นานจนคิดไปว่าเหตุการณ์แย่ๆตอนเช้า มันเกิดขึ้นเช้าวันนี้ หรือเช้าเมื่อวานกันแน่นะ
ไม่ว่าเรื่องตลก เสียงหัวเราะ ความสนุกสนานในที่ทำงาน ของเพื่อนร่วมงาน ก็ยังไม่สามารถทำให้เรื่องแย่ๆที่ตกค้างอยู่ในใจหายไปได้
จนตกเย็น ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ฝนตก ฝนตก ฝนตก...
ทำอะไรก็ติดขัด ไม่ได้ดั่งใจซักอย่าง แผนการที่วางไว้ เป็นอันต้องยกเลิก
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องกลับบ้าน บ้าน?...
นั่งรถเมล์ ปล่อยความคิดไปกับลม กับละอองฝน กับเสียงรถราฝนฟ้าที่ดังเหลือเกิน
แต่น่าตกใจ ที่เสียงความคิดฟุ้งซ่านสะเปะสะปะของเรามันดังยิ่งกว่า และยิ่งดังขึ้นดังขึ้น เมื่อนั่งรถผ่านเส้นทางสายเก่า ผ่านบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย ลมพัดผ่านหน้าไปหนึ่งวูบ ทำให้พลันคิดขึ้นมาว่า อะไรกันนะ ที่พาชีวิตเรามาไกลเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงเดินลงจากรถและค่อยๆเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิม เดินเข้าซอยๆนั้นไป มองหาพระจันทร์ว่าคืนนี้มันอยู่ตรงไหน ก่อนจะไขประตูเข้าบ้าน อาบน้ำ กินข้าว และเข้านอน
แต่ตอนนี้ ลงรถคนละป้าย ไม่ต้องเดินเข้าซอย ไขประตูคนละบาน อาบน้ำ กินข้าว เข้านอน อาจคล้ายๆอย่างเิดิืม แต่มัน ไม่เหมือนเดิม...
เรารู้แหละนะว่า คนเราต้องเดินชนกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่ได้ไปไหนเสียที แต่ในเวลาที่เหนื่อยล้า ความเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจอ่อนไหว และอดกลัวมันไม่ได้ทุกที
เราเหนื่อย... เหนื่อยกาย กับปัจจัยภายนอก ฟ้าฝน การเดินทาง กับอุปสรรคที่ไม่เป็นใจ
เราเหนื่อย... เหนื่อยใจ กับความกังวล และปัจจัยภายในของตัวเอง ที่ไม่สามารถจัดการได้เสียที
ในภาวะแบบนี้ เราก็เก่งนักเชียว ในการโยงเรื่องทุกเรื่องที่คิดที่รู้สึกมากองไว้รวมกัน(แม้มันจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม)
หวังว่า...วันพรุ่งนี้จะดีขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป หวังว่า...

17 กันยายน 2551

สั่นคลอน...

ในยามที่จิตใจถูกสั่นคลอนด้วยความโกรธ ความไม่พอใจ จากคำพูดหรือการกระทำของใครบางคน เราไม่สามารถที่จะห้ามความรู้สึกโกรธได้ สิ่งที่เราทำได้คงจะเป็นเพียงการระงับอารมณ์ ควบคุมตนไม่ให้แสดงความโกรธเกรี้ยวไปตามแรงโกรธ และสำหรับเราสิ่งนั้นมักจะกลับมาตกค้างเกิดเป็นคำถาม ที่ไม่ได้รับคำตอบ วกวนคั่งค้างอยู่ในใจเสมอ ที่ยากไปกว่านั้น คือเรื่องๆนั้น มาจากพื้นฐานแห่งความหวังดี.... แต่จะให้เป็นเช่นไร เมื่อวิถีของเรานั้นต่างกัน มันช่างดูหยิ่งผยองเกินไปและลำบากใจเกินกว่าที่จะบอกออกไปว่า ความหวังดีนั้นเราไม่ได้ต้องการ
ได้ไปเจอ ข้อความหนึ่ง ที่ช่วยเราได้มากสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่ออ่านดู และเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่เรารู้สึกและสงสัย มันก็ทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น อาจจะยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่เราจะพยายาม...

หมั่นตระหนักว่าชีวิตนั้นเหมือนฝัน
พึงลดความยึดติด และการผลักไส
พึงเจริญเมตตาจิตต่อสรรพชีวิต
พึงรักและกรุณาไม่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร
สิ่งที่เขาทำนั้น ไม่มีความสำคัญมากนัก
หากเธอเห็นมันเป็นดั่งความฝัน
เคล็ดนั้นอยู่ี่ที่่มีเจตนาดีระหว่างฝัน
นี้เป็นประเด็นสำคัญ เป็นธรรมที่แท้จริง

จากหนังสือ เหนือห้วงมหรรณพ (The Tibetan Book of Living and Dying)
โซเกียล รินโปเช เขียน
พระไพศาล วิสาโล แปล

13 กันยายน 2551

The Orphanage



ช่วงนี้ ไม่ค่อยมีหนังโรงที่รอคอยอยู่เข้าฉายเลย Twenty Century Boy ก็มีข่าวว่าเลื่อนฉาย ยังไม่แน่นอน เลยเป็นช่วงเวลาการหาหนังแผ่นมาดู ได้ยินคำร่ำลือมามากมายสำหรับหนังเรื่อง The Orphanage หรือ El orfanato ว่าควรหามาดูให้ได้ และจากความใจดีของรุ่นน้องที่ให้หยิบยืมแผ่นมา ก็เลยได้ดูเสียที โอ้... สมคำร่ำลือจริงๆ
แนวทางของ The Orphanage เป็นหนังสยองขวัญ ออกหลอนๆด้วยเรื่องราว และ บรรยากาศของบ้านหลังงาม ที่เคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักคือ Laura (ฺำBelen Rueda)อดีตเด็กกำพร้าที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ และเดินทางกลับมาที่นี่อีกครั้งกับสามี และลูกชายโดยตั้งใจจะสร้างบ้านหลังนี้ให้กลับมาเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง แต่อยู่ไปอยู่มา ก็ยิ่งพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาด ยิ่งกับลูกชาย Simon ที่ชอบพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการ, เกมส์หาของล้ำค่าที่น่าแปลกใจเกินกว่าจะยอมรับว่ามันเป็นความจริง ทั้งหลายทั้งปวงนำไปสู่ความเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่น่าเศร้าสลดของบรรดาเด็กๆกำพร้าในอดีต รายละเอียดของหนังเล่นกับจินตนาการ ความซุกซนแบบเด็กๆ แต่ก็หลอนอย่างมากเลยทีเดียว ฉากหวาดเสียวบางฉากก็ยังได้กลิ่นความจิตๆ คล้ายๆกับ หนังเรื่องก่อนของ Guillermo Del Toro อย่าง Pan's Labyrinth แต่ก็เป็นความจิตที่เราว่าน่าดูทีเดียว หนังดำเนินเรื่องได้น่าตื่นเต้นชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ มีการทำให้เราอึ้งได้เป็นระยะๆ จนตอนจบอยู่ๆเราก็รู้สึกอยากร้องไห้ เลยได้เสียน้ำตาอย่างไม่แน่ใจสาเหตุ(ของตัวเอง)ให้กับหนังเรื่องนี้ โอกาสในชีวิตของคนเราันั้นไม่เท่ากันจริงๆ บางทีการได้มีชีวิตอยู่ การได้เติบโตขึ้น การได้แก่ชรา ก็เป็นโอกาสที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นกับชิวิตและดวงวิญญาณหลายๆดวง
สรุปแล้วมันเป็นหนังที่สนุก และดีมากๆเลยค่ะ แนะนำ แนะนำ

7 กันยายน 2551

moment หลังการวาดรูป

การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่มีความยากในระดับหนึ่งสำหรับเรา ทั้งที่รู้นะว่าเมื่อได้เริ่มต้นทำแล้ว มันต้องสนุก และรู้สึกดีแน่ๆ แต่ด้วยความขี้เกียจทั้งหลายทั้งปวง มักจะกลายเป็นข้ออ้างไม่ยอมทำอยู่ร่ำไป อย่างเรื่องวาดรูป ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ร่ำๆว่าจะวาดอยู่ทุกอาทิตย์ แต่เอาเข้าจริง ความถี่ที่ได้วาดก็น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ทุกที ตอนนี้ก็พยายามทำขั้นตอนให้มันง่ายลง เพื่อลดข้ออ้างต่างๆ เมื่อวานก็ได้โอกาสเอาชนะความขี้เกียจ อาจจะเนื่องด้วยเก็บสะสมความอยากวาดมานาน ก็เลยได้แรงกระตุ้นอย่างดีให้ลุกขึ้นมาวาดรูปอย่างแข็งขัน และก็เหมือนทุกๆครั้งที่ได้วาด คือ รู้สึกดีจังเลย มีความสุข มีสมาธิ จิตใจสงบ และเราก็รู้สึกชอบภาพที่เพิ่งวาดเสร็จด้วย มันออกมาดีกว่าที่คิดไว้ หลังจากที่วาดเสร็จ เราจะชอบนั่งมองภาพนั้นนานๆ มองไปเรื่อยๆ มองแล้วมองอีก เหมือนคนหลงผลงานตัวเอง (หลงบางภาพที่ออกมาดีน่ะ บางภาพที่ออกมาไม่ถูกใจก็ทำเอาเสียความมั่นใจไปเหมือนกัน) ภาพที่ชอบๆเนี่ย ทำให้เกิดความรู้สึก ตีกันในหัวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือ อยากจะเก็บภาพนี้เป็น collection ส่วนตัว หรือเอาไปใส่กรอบติดฝาบ้านดีกว่า แต่ก็จะมีความคิดที่สองมาชนกันอีกว่า เราก็อยากเอาไปเผยเเพร่อวดสายตาประชาชน เพื่อนฝูงทั้งหลาย อยากฟังความเห็น ว่าเค้าจะชอบรูปของเราไหม อยากได้ให้มันกับใครซักคน อยากให้คนที่ได้รับรู้สึกดีกับภาพของเรา มันคงดูมีค่ามากขึ้น และมันก็ทำให้เรามีความสุข สองความอยากนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอหลังวาดรูปเสร็จ แต่จนแล้วจนรอด ความคิดที่สองมักมาแรงแซงโค้งอยู่เสมอ เลยกลายเป็นว่า วาดอะไรออกมาก็ให้ชาวบ้านไปเกือบหมด แทบไม่เหลือเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่มันก็แลกมาซึ่งความรู้สึกดีๆนะ เราก็ดีใจ และยินดีมากๆที่ได้มอบมันให้กับใครซักคน ว่าแล้วก็อยากวาดรูปอีกจังเลย อย่าขี้เกียจ อย่าขี้เกียจ ท่องไว้...

6 กันยายน 2551

ยินดีที่ได้เขียน และยินดีที่ได้พบกัน



เป็นครั้งแรกที่เริ่มสนใจในการเขียน Blog โดยส่วนตัวเเล้วเป็นคนเขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง บรรยายอะไรไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้เจอ และ อ่าน blog ของใครหลายๆคน พบเจอคนที่ชอบอะไรคล้ายๆกัน อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง แบบเดียวกัน อ่านแล้วบางที่ก็ได้ความรู้สึกดีๆ หรือได้ความรู้ ข่าวสาร เรื่องดีๆมาแบ่งปันกัน บางทีมันก็ทำให้เิกิืดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างเหมือนกันนะ ก็เลยบังเกิดความอยากเขียนขึ้นมาบ้าง พูดคนเดียวกับตัวเองมาซะนาน พูดมาทางนี้บ้าง เสียงอาจจะดังขึ้น
ยังไงก็... ยินดีที่ได้รู้จัก สำหรับตัวเอง สำหรับเพื่อนๆ และ สำหรับใครก็ตาม ที่บังเอิญแวะเวียนเข้ามาพบกัน ยินดีค่ะ